ไทยเปิดศูนย์พิสูจน์สัญชาติอีก 2 แห่ง เปิดจดทะเบียน 15 มิ.ย.-14 ก.ค.
เมื่อวันที่ 15 มิ.ย. นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และนายอู หม่องมินท์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศพม่า ได้ไปตรวจเยี่ยมการเปิดจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองผิดกฎหมายรอบใหม่ที่ศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ (One Stop Service) ตลาดทะเลไทย อ.เมือง จ.สมุทรสาคร ซึ่งการเปิดจดทะเบียนครั้งนี้เริ่มตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายน-วันที่ 14 กรกฎาคม
นายเฉลิมชัย เปิดเผยว่า การเปิดจดทะเบียนครั้งนี้จะทำให้สามารถทราบจำนวนแรงงานต่างด้าวที่หลบหนีเข้าไทยอย่างชัดเจน และควบคุมไม่ให้มีการเคลื่อนย้ายแรงงาน จนเกิดผลกระทบด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ และโรคต่างๆ
"ผมขอความร่วมมือรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศพม่าว่า หลังจากวันที่ 12 ตุลาคมนี้ ซึ่งสิ้นสุดกระบวนการจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวรอบใหม่ จะปราบปรามจับกุมแรงงานที่ยังหลบหนีและลักลอบเข้ามาในไทยอย่างจริงจัง และผลักดันออกนอกประเทศโดยระบบรัฐต่อรัฐ อีกทั้งขอให้พม่าจัดส่งเจ้าหน้าที่มาประจำศูนย์พิสูจน์สัญชาติที่จะเปิดเพิ่มอีก 2 จุด ที่ จ.สมุทรสาคร และ จ.นครสวรรค์ โดยจะหารือกันในวันที่ 16 มิถุนายนนี้" นายเฉลิมชัย กล่าว
ด้านนายอู หม่องมินท์ กล่าวว่า เชื่อว่าเวลา 1 เดือน คงไม่สามารถจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวที่หลบหนีเข้ามาในไทยได้ทั้งหมด จึงควรจะเปิดจดทะเบียนเช่นนี้อีกครั้ง ส่วนการเปิดศูนย์พิสูจน์สัญชาติเพิ่ม 2 แห่งจะต้องนำไปหารือกับรัฐบาลพม่า ซึ่งการพิสูจน์สัญชาติแรงงานพม่าเพื่อให้เข้ามาทำงานในไทยนั้น รัฐบาลพม่ายังไม่มีนโยบาย และแรงงานพม่าก็ไม่ต้องการเข้าเมืองอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เพราะเกรงจะเสียภาษีรายได้นิติบุคคลร้อยละ 10 ต่อเดือน หรืออย่างต่ำ 600 บาทจากค่าธรรมเนียมการทำพาสปอร์ตให้แก่ประเทศพม่า
ที่มา : มติชน
กกต.จับมือICTสอบหาเสียงผ่านสื่อออนไลน์
ชลรัช จิตในธรรม ผู้ตรวจการจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. กล่าวยอมรับว่า การเลือกตั้งในครั้งนี้ เป็นครั้งแรก ที่ใช้สื่อออนไลน์ในการหาเสียง และเป็นครั้งแรกที่ทาง กกต. จะต้องเข้ามาทำการตรวจสอบ โดยเบื้องต้นได้ทำการขอความร่วมมือ มายังกระทรวงไอซีที ให้ช่วยตรวจสอบข้อความที่อาจเข้าข่ายผิดกฎหมายการเลือกตั้ง และใส่ร้ายผู้แทน รวมทั้งผู้สมัคร ส.ส. ของทุกพรรค ก็ขอให้รายงานมายัง กกต. ว่าได้ใช้สื่อออนไลน์ใด ในการหาเสียงบ้าง เพื่อทาง กกต. จะได้ค่าใช้จ่ายตามความเป็นจริง
นอกจากนี้ ยังกล่าวถึง กรณีบัตรเลือกตั้งของพรรคเพื่อไทย ที่มีโลโก้ขนาดเล็กว่า เป็นการกลั่นแกล้งของทาง กกต. นั้น ทาง กกต. ยอมรับว่า บัตรเลือกตั้งดังกล่าวเป็นของทาง กกต. ที่จัดทำขึ้นจริง ส่วนกรณีโลโก้นั้น ขอยืนยันว่าทาง กกต.
ไม่ได้มีการกลั่นแกล้ง แต่อย่างใด แต่เนื่องจากพรรคเพื่อไทย ส่งโลโก้ที่มีความยาวเกินกรอบ ที่กำหนด ดังนั้นจึงต้องมีการจัดให้พอดีกับกรอบ จึงทำให้เห็นว่า มีขนาดเล็กกว่าพรรคอื่น
ที่มา : INN
"ณัฐวุฒิ"โต้"มาร์ค"หมู่บ้านแดงแค่สัญลักษณ์ ไม่ขัดกฎหมาย และไม่กระเทือนแผนปรองดอง
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้สมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (พท.) และแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวเมื่อวันที่ 16 มิถุนายนถึงกรณีที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เรียกร้องให้ พท.ออกมาชี้แจงกรณีหมู่บ้านเสื้อแดง ว่า หมู่บ้านเสื้อแดงไม่ได้เกิดขึ้นจากการฝ่าฝืนกฎหมาย และไม่ได้เกิดขึ้นเพื่อทำลายองค์ประกอบของสังคม ต้องเข้าใจว่าเป็นการกระทำที่ต้องการแสดงออกถึงสัญลักษณ์ทางการเมืองของคนเสื้อแดง คือ ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยต้องการให้ประเทศเกิดความยุติธรรม และอยู่ในมาตรฐานเดียวกันทั้งหมด ส่วนตัวเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ประชาชนทั่วประเทศต้องการ
ทั้งนี้ หมู่บ้านเสื้อแดงจะไม่ส่งผลกระทบต่อความปรองดอง การปรองดองจะเกิดขึ้นได้ พรรคการเมืองทุกพรรคต้องยอมรับเจตนารมณ์ของประชาชน อย่างไรก็ตาม หลังการเลือกตั้งหากพรรคการเมืองใดได้คะแนนเสียงมาเป็นอันดับ 1 จะต้องจัดตั้งรัฐบาลบริหารประเทศ และหากพรรคการเมืองใดแพ้การเลือกตั้งก็ต้องยอมรับความจริง และทำหน้าที่เป็นฝ่ายค้าน
ที่มา : มติชน
บุรีรัมย์อบรมกลุ่มอาสาฯ ป้องกันสายลับ
กอ.รมน.บุรีรัมย์ จัดอบรมกลุ่มอาสาพัฒนาและป้องกันตนเอง เพื่อสกัดกั้นสายลับ ที่เข้ามาสอดส่องในพื้นที่
กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน จังหวัดบุรีรัมย์ จัดฝึกทบทวนและอบรมให้ความรู้กลุ่มอาสาพัฒนา และป้องกันตนเอง บ้านคาเหลือง ตำบลหนองยายพิมพ์ อำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ จำนวน 40 คน เพื่อร่วมเป็นเครือข่ายในการแจ้งเบาะแสกลุ่มผู้ไม่หวังดี บุคคลแปลกหน้า หรือ แรงงานต่างด้าว เข้ามาขายแรงงานในพื้นที่ ที่อาจจะเข้ามาเป็นสายลับ ก่อความไม่สงบ ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ พร้อมทั้งสอดส่องดูแล และแจ้งเบาะแสของกลุ่มขบวนการ ทั้งผู้ค้า และผู้เสพยาเสพติด ปัญหาลักลอบ หลบหนีเข้าเมือง โดยผิดกฎหมาย และปัญหาอาชญากรรมทุกประเภท ซึ่งจังหวัด มีเป้าหมายจัดอบรมจำนวน 12 หมู่บ้านใน 6 อำเภอ โดยจะเน้นหนักหมู่บ้านตามแนวชายแดน ซึ่งในกรณีพบกลุ่มบุคคลต้องสงสัย หรือผู้ไม่หวังดี ให้แจ้งเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ทราบทันที เพื่อเจ้าหน้าที่จะได้เข้าไปตรวจสอบสกัดกั้น กลุ่มบุคคลดังกล่าว
นอกจากนั้น ผู้ที่ผ่านการอบรม ยังจะเข้าไปมีส่วนร่วมในการร่วมแก้ไขปัญหาความขัดแย้งของประชาชน ในหมู่บ้านอีกทางหนึ่ง
ที่มา : INN
“ดีเอสไอ” เปิดโครงการสายลับจิ๋ว แจ้งเบาะแสคดีทรัพย์สินทางปัญญา
เมื่อวันที่ (15 มิ.ย.) พ.อ.ปิยะวัฒก์ กิ่งเกตุ ผบ.สำนักคดีทรัพย์สินทางปัญญา กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากปัญหาเรื่องละเมิดทรัพย์สินทางปัญญายังเกิดอย่างต่อเนื่องในประเทศไทย ที่ผ่านมาหลายหน่วยงานได้ตรวจค้น จับกุมแหล่งจำหน่ายและแหล่งผลิตสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งดีเอสไอ ที่ได้ให้ความสำคัญกับปัญหาคดีละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาเป็นอย่างมาก จึงได้จัดโครงการ “DSI Junior Spy” หรือ “นักสืบเยาวชนต้านการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา” เพื่อพัฒนาให้เยาวชนก้าวสู่การเป็นสายลับทรัพย์สินทางปัญญาของดีเอสไอ ในการแจ้งเบาะแสการกระทำผิดกฎหมาย
ผบ.สำนักคดีทรัพย์สินทางปัญญา ดีเอสไอ กล่าวอีกว่า ดีเอสไอจะเปิดโครงการครั้งแรกที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา พัฒนาการ ในวันพุธที่ 22 มิ.ย. และโรงเรียนมัธยมสาธิตวัดพระศรีมหาธาตุ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร ก่อนจะขยายไปในโรงเรียนอื่นต่อไป สำหรับโครงการนักสืบเยาวชนฯ เจ้าหน้าที่สำนักคดีทรัพย์สินทางปัญญา จะจัดคอร์สอบรมให้กับนักเรียนในระดับมัธยม เพื่อให้กลุ่มนักเรียนทราบถึงภารกิจของดีเอสไอตาม พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ และอบรมความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา เพื่อเป็นการกระตุ้นเตือนในการเคารพสิทธิทางความคิด ความรับผิดและโทษตาม พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า และพ.ร.บ.เกี่ยวกับลิขสิทธิ์ที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้จะจัดอบรมความรู้และแนวทางในการสืบสวน การแจ้งเบาะแสการกระทำความผิดเกี่ยวกับคดีทรัพย์สินทางปัญญา และการแยกแยะสินค้าของแท้ ของปลอมด้วย
พ.อ.ปิยะวัฒก์กล่าวอีกว่า ในการอบรมดีเอสไอจะให้ความรู้ เรื่องเครื่องหมายการค้า ลิขสิทธิ์ รวมทั้งเทคนิคการสังเกต จดจำ รูปพรรณคนร้าย และสร้างสถานการณ์จำลองในการก่ออาชญากรรม เพื่อให้สายลับจิ๋วดีเอสไอ สังเกต จดจำรายละเอียดโดยรวมของสถานการณ์ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการเป็นพยานให้กับเจ้าหน้าที่ เมื่อจบการอบรม ดีเอสไอจะมอบป้ายสาบลับจิ๋วดีเอสไอพร้อมกำหนดรหัส เพื่อใช้ในการแจ้งเบาะแสการกระทำความผิดให้กับนักเรียนที่เข้าร่วมโครงการฯ ส่วนช่องทางในการแจ้งเบาะแส จะเปิดให้สายลับจิ๋วดีเอสไอ แจ้งผ่านทางเว็ปไซด์ดีเอสไอ ส่วนเรื่องความปลอดภัยขอยืนยันกับผู้ปกครองว่า บุตรหลานจะมีความปลอดภัย การแจ้งเบาะแสใช้เพียงรหัสลับประจำตัวเท่านั้น ซึ่งโครงการดังกล่าวได้รับการตอบรับจากนักเรียนในสถานศึกษาเป็นจำนวนมาก
ที่มา : ผู้จัดการ
เอ็นจีโอร้องกสม. ศธ. ยุบควบรวมโรงเรียนขนาดเล็ก 7 พันแห่ง ไม่เป็นธรรม
วันนี้ 15 มิ.ย. นายชัชวาลย์ ทองดีเลิศ เลขาธิการสภาการศึกษาทางเลือก นายเทวินฎฐ์ อัครศิลาชัย รองเลขาธิการฯภาคเหนือ นายชัยณรงค์ ฉิมชูใจ รองเลขาธิการฯ ภาคกลาง นายวันชัย พุทธทอง รองเลขาธิการฯ ภาคใต้ และนายสถาปนา ธรรมโมรา ปลัด อบต.ไล่โว่ อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี เข้ายื่นหนังสือร้องเรียนต่อ นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ กรรมการสิทธิมนุษยชน (กสม.) ด้านสิทธิพลเมือง สิทธิการเมือง และสิทธิชุมชน และนางวิสา เบ็ญจะมโน กสม.ด้านสิทธิเด็ก สิทธิสตรีและความเสมอภาคของบุคคล เพื่อขอให้ตรวจสอบและคุ้มครองสิทธิชุมชนต่อนโยบายยุบควบรวมโรงเรียนขนาดเล็ก 7,000 แห่งของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.)
กลุ่มเอ็นจีโอระบุว่า นโยบายดังกล่าวขัดต่อเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญปี 2550 หมวดที่ 3 ส่วนที่ 8 สิทธิและเสรีภาพในการศึกษา มาตรา 49 ที่ระบุว่า บุคคลย่อมมีสิทธิเสมอกันในการรับการศึกษาไม่น้อยกว่า 12 ปี ที่รัฐจะต้องจัดให้อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย แต่กระทรวงศึกษาธิการเขตพื้นที่การศึกษาได้ปล่อยปละละเลยการบริหารโรงเรียน จนทำให้เกิดสภาพโรงเรียนขนาดเล็ก จากนั้นจึงใช้การยุบควบรวมโรงเรียน ทำให้ประชาชนไม่ได้รับการบริการทางการศึกษาอย่างทั่วถึงและมีคุณภาพ เนื่องจากเด็กนักเรียนต้องย้ายไปยังโรงเรียนใหม่ที่ห่างไกลบ้านพักและเสี่ยงภัยต่อระยะทางไกลหรือทำให้เด็กนักเรียนต้องย้ายไปอยู่หอพัก แทนการอยู่ร่วมกับครอบครัว เท่ากับเป็นการบั่นทอนความสัมพันธ์ของครอบครัว ขัดกับรัฐธรรมนูญ มาตรา 80 ที่ระบุให้รัฐดำเนินนโยบายทางการศึกษาเพื่อคุ้มครองและพัฒนาเด็กและเยาวชนด้วยการส่งเสริมการอบรมเลี้ยงดู และพัฒนาความเป็นปึกแผ่นของครอบครัว
ที่มา : เดลินิวส์
ประมงชายฝั่งสงขลายื่นศาลปกครองเพิกถอนสัมปทานเจาะน้ำมัน-จ่ายค่าชดเชย
เมื่อวันที่ 16 มิ.ย. ที่ศาลปกครองจังหวัดสงขลา ชาวประมงชายฝั่ง 160 คน ในชื่อกลุ่มบุญช่วยร่วมใจ มีนายบุญช่วย ฟองเจริญ เป็นแกนนำยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง เพื่อขอให้มีคำสั่งเพิกถอนสัมปทานขุดเจาะน้ำมันของบริษัท นิวคอสตอล (ประเทศไทย) จำกัด และให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้ได้รับผลกระทบ เนื่องชาวประมงชายฝั่งได้รับความเดือดร้อนจากการขุดเจาะน้ำมัน แปลงสัมปทานหมายเลขที่ G-5/43 ของบริษัทจนเสียพื้นที่ทำประมงประมาณ 150 ตารางกิโลเมตร และยังส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศทำให้สัตว์น้ำลดลง
นายบุญช่วยกล่าวว่า เคยร้องเรียนไปยังหน่วยราชการและบริษัทแล้ว แต่ไม่ได้รับการชดเชยหรือเยียวยาให้เหมาะสม ดังนั้น เพื่อยุติข้อพิพาทให้ถูกต้องและเป็นธรรม ชาวประมงจึงยื่นฟ้องเพื่อขอให้ศาลพิจารณาข้อเท็จจริง เพิกถอนสัมปทาน และให้บริษัทชดใช้ค่าเสียหาย
ที่มา : มติชน
ศาลปค.ไฟเขียวไม่ระงับกก.สรรหากสทช.
เมื่อวันที่ 15มิ.ย. ที่ศาลปกครองกลาง ถ.แจ้งวัฒนะ นายอนุวัฒน์ ธาราแสวง ตุลาการหัวหน้าคณะศาลปกครองกลาง เจ้าของสำนวนคดีหมายเลขดำ 1173/2544 มีคำสั่งยกคำขอคุ้มครองชั่วคราว คดีที่นายสุรนันท์ วงศ์วิทยกำจร หนึ่งในผู้สมัครสรรหาเป็น คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ( กสทช.) ด้านเศรษฐศาสตร์ ที่ได้รับคะแนนเป็นอันดับ 5 ในการสรรหา ยื่นฟ้อง คณะกรรมการสรรหา กสทช. และเลขาธิการวุฒิสภา เป็นผู้ถูกฟ้องที่ 1 - 2 เรื่องเป็นเจ้าหน้าที่รัฐออกคำสั่งโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งนายสุรนันท์ ผู้ฟ้อง
ขอให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ให้ผู้ถูกฟ้องทั้งสองส่งรายชื่อผู้ฟ้อง เป็น 1 ใน 4 ที่ได้รับการพิจารณาคัดเลือกเป็น กสทช. ด้านเศรษฐศาสตร์ไปยังประธานวุฒิสภา และให้ทุเลาการบังคับที่จะปฏิบัติตามคำสั่งของคณะกรรมการสรรหา กสทช. ผู้ถูกฟ้องที่ 1 ที่มีมติในการประชุมครั้งที่ 13 เมื่อวันที่ 29 เม.ย.54 ลงคะแนนเลือกนายยุทธ์ ชัยประวิตร ผู้ร้องสอดคดีนี้ เป็นผู้ได้รับเลือกเป็น กสทช. แทนนายอรรถชัย บุรกรรมโกวิท ซึ่งได้รับคะแนนเลือกเป็นอันดับ 3 แต่เป็นกรรมการของบริษัท อสมท.จำกัด ( มหาชน) ที่ถือว่าขาดคุณสมบัติตาม พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2553
ศาลพิเคราะห์แล้วข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า การประชุมของคณะกรรมการสรรหา กสทช. ครั้งที่ 11 เมื่อวันที่ 25 เม.ย. ได้พิจารณาลงมติเลือกผู้สมัครเข้ารับสรรให้เหลือ 22 คนด้วยวิธีการลงคะแนนลับ ซึ่งผลปรากฏว่ามีผู้ได้คะแนนสูงสุด 12 คะแนน ผู้ฟ้องได้ 4 คะแนน ส่วนนายยุทธ์ ผู้ร้องสอดคดีนี้ได้ 3 คะแนน และมีผู้ได้รับคะแนนต่ำสุด 1 คะแนน ที่เหลือ 6 คนไม่ได้รับคะแนน ผู้ถูกฟ้องที่ 1 จึงได้มีมติให้นายจันทิมา สิริแสงทักษิณ นายพิษณุ เหรียญมหาสาร นายวิชัย โถสุวรรณจินดา และนายอรรถชัย บุรกรรมโกวิท ที่มีคะแนนสูงสุดตามลำดับ เป็นผู้สมควรได้รับเลือกเป็น กสทช. ด้านเศรษฐศาสตร์ซึ่งจะต้องส่งรายชื่อเสนอวุฒิสภาพิจารณาและมีมติเลือกต่อไป แต่ต่อมาในการประชุมของคณะกรรมการสรรหา กสทช. ครั้งที่ 13 วันที่ 29 เม.ย. เห็นว่านายอรรถชัย บุรกรรมโกวิท มีลักษณะต้องห้ามตาม พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ ฯ จึงได้มีมติให้ลงคะแนนใหม่ เพื่อทดแทนนายอรรถชัย ด้วยวิธีลงคะแนนลับ ซึ่งปราฏกว่านายยุทธ์ ผู้ร้องสอดคดีนี้ได้ 7 คะแนน ส่วนผู้ฟ้องได้ 2 คะแนน
ศาลเห็นว่า ตาม พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ ฯ มาตรา 15 ให้เลขาธิการวุฒิสภา ผู้ถูกฟ้องที่ 2 กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการคัดเลือก ซึ่งกำหนดให้ผู้ได้รับคะแนนสูงสุดเรียงตามลำดับได้รับคัดเลือก และได้มีการออกระเบียบสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการคัดเลือกผู้สมควรได้รับเลือกเป็น กสทช. ด้วยวิธีการสรรหา พ.ศ.2553 ไว้ด้วย โดยเมื่อปรากฏว่านายอรรถชัย เป็นผู้ขาดคุณสมบัติ คณะกรรมการสรรหา กสทช.ได้ลงคะแนนใหม่เฉพาะบุคคลที่ไม่ได้รับคัดเลือกในรอบแรก และปรากฏว่านายยุทธ์ ผู้ร้องสอดเป็นผู้ได้รับคะแนนสูงสุดซึ่งเป็นการใช้อำนาจตามระเบียบคัดเลือกแล้ว ในชั้นนี้จึงยังฟังไม่ได้ว่าคำสั่งของผู้ถูกฟ้องที่ 1 ดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงมีคำสั่งให้ยกคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราว
ที่มา : คมชัดลึก
พมจ.น่านประชุมสัญจรผู้ประกอบการหอพัก พร้อมตรวจความเรียบร้อยหอพัก
ที่ศาลาประชาคมวัดมหาโพธิ์ ตำบลในเวียง อำเภอเมือง จังหวัดน่าน นาย สุเมษ สายสูง พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดน่านเป็นประธานเปิดการประชุมหอพักสัญจร เพื่อชี้แจงให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการหอพัก และผู้พักอาศัยได้รับทราบถึงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการประกอบกิจการหอพัก เช่น พ.ร.บ.หอพัก พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอร์ พ.ร.บ. คุ้มครองเด็ก พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ รวมถึงกฎหมายอื่นๆและระเบียบสถานศึกษาที่เกี่ยวข้อง โดยมีวิทยากรจากตำรวจภูธรจังหวัดน่าน โรงพยาบาลน่าน สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาและเจ้าหน้าที่ของ สนง.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ บรรยายให้ความรู้แก่ผู้ประกอบกิจการและผู้เข้าพักอาศัยได้รับทราบ
เนื่องจากหอพักถูกมองว่าเป็นแหล่งมั่วสุม ก่อให้เกิดปัญหาต่างๆ ของเด็กและเยาวชน ทั้งปัญหายาเสพติด แหล่งมั่วสุม การทะเลาะวิวาท ทั้งยังเป็นแหล่งที่นักเรียนนักศึกษามักมีเพสสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร จังหวัดน่านโดยนายเสนีย์ จิตตเกษม ผู้ว่าราชการจังหวัดน่านจึงได้มีนโยบายให้ สนง.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมชี้แจงและตรวจสอบหอพักเพื่อเป็นการป้องปรามการก่อให้เกิดปัญหาสังคมต่างๆ รวมทั้งให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการที่จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายและที่ไม่ได้จดทะเบียนได้เร่งยื่นการขอจดทะเบียนเพื่อให้เป็นหอพักที่ถูกต้องตามกฎมาย
ดังนั้น โอกาสนี้ชุดเฉพาะกิจสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดน่านร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา โรงพยาบาลน่าน และชุม อปพร.ของชุมชน ได้เข้าตรวจสถานประกอบการหอพักในเขตพื้นที่เทศบาลเมืองน่าน เพื่อตรวจสอบความถูกต้องในการประกอบกิจการ และคุ้มครองสวัสดิภาพเด็กและเยาวชน โดยชุดเฉพาะกิจฯได้เน้นการว่ากล่าวตักเตือนผู้ประกอบการที่ยังไม่ได้ยื่นจดทะเบียนและแจ้งให้ทราบถึงกฎหมายและระเบียบของการประกอบกิจการหอพัก เพื่อที่จะได้เร่งดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมายต่อไป พร้อมนี้ยังได้ตรวจเยี่ยมนักเรียนนักศึกษาที่เข้าพักอาศัยเพื่อถามถึงการดูแลของผู้ประกอบการด้วย
ที่มา : ศูนย์ข่าวเนชั่น