"ธาริต" เผย ผังล้มเจ้า 39 รายชื่อแตกคดีเป็น 32 สำนวน
นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ กล่าวกรณีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง วิจารณ์การทำงานของดีเอสไอในคดีความมั่นคงของรัฐ หรือคดีล้มเจ้าตามผังของศอฉ. ว่า นายสุเทพเคยเป็นผู้บังคับบัญชา กำกับดูแลดีเอสไอ ดีเอสไอจึงขอน้อมรับคำวิจารณ์ในฐานะที่ตนเป็นหัวหน้าหน่วยงาน และท้ายที่สุดในการพิจารณาสั่งคดีจะเป็นหน้าที่ของตน ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีนี้ จะกำกับดูแลให้ตรงไปตรงมาให้เกิดความเชื่อถือแก่ประชาชน เป็นไปตามกฎหมาย ไม่ทำตามใบสั่งใคร อย่างไรก็ตาม เท่าที่ติดตามจากข่าวพบว่านายสุเทพไม่ได้ตำหนิตน แต่เป็นการพูดถึงข้าราชการบางคน เชื่อว่านายสุเทพเข้าใจว่า ดีเอสไอเป็นองค์กรหลักหนึ่งในกระบวนการยุติธรรม ซึ่งก็ต้องมีความคิดเห็นต่างบ้างในองค์กรเป็นเรื่องธรรมดา
"พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ.2547 เป็นกฎหมายใหม่ที่เปลี่ยนวิธีทำงานของพนักงานสอบสวน ให้ดีเอสไอต้องบูรณาการ ซึ่งคดีผังล้มเจ้านั้นมีอัยการอาวุโส มาเป็นคณะพนักงานสอบสวน และพิจารณาหลักฐานในสำนวนคดีร่วมกับพนักงานสอบสวนดีเอสไอทุกครั้ง ที่ผ่านมายอมรับดีเอสไอร่วมเป็นกรรมการในศอฉ. โดยหน่วยงานความมั่นคงทุกหน่วย ทั้งสำนักข่าวกรองแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สภาความมั่นคงแห่งชาติ และหน่วยข่าวทหาร ก็ร่วมเป็นกรรมการศอฉ.ทั้งสิ้น ผังล้มเจ้าที่ได้มามาจากหน่วยงานความมั่นคงซึ่งส่วนใหญ่เป็นทางทหาร ดีเอสไอไม่ได้เข้าไปร่วมทำ"นายธาริตกล่าว
นายธาริต กล่าวถึงกรณีที่นายสุเทพว่า มีพยานหลักฐาน ก็จะเป็นเรื่องดีที่ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองหากมีพยานหลักฐานที่เป็นประโยชน์ ดีเอสไอก็พร้อมรับนำเข้าสำนวนสอบสวน จะได้เข้าสู่กระบวนการพิสูจน์ มุมหนึ่งพิสูจน์ความผิดผู้ต้องหาและอีกมุมคือพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของผู้ถูกกล่าวหา อย่างไรก็ตาม คดีล้มเจ้าตามผังศอฉ. ค่อนข้างซับซ้อน ภายในแผนผังมีรายชื่อบุคคล 39 รายชื่อ แตกคดีเป็น 32 สำนวน ต้องใช้เวลาอีกระยะในการพิสูจน์ความผิดหรือความบริสุทธิ์ ขณะนี้สอบพยานไปแล้วประมาณ 50 ปาก หากนายถวิล เปลี่ยนศรี อดีตเลขาธิการสมช. ในฐานะเลขาฯศอฉ. ให้การพาดพิงหรือเกี่ยวข้องกับใครดีเอสไอจะพิจารณามาจะต้องเชิญใครเข้าให้ข้อมูลอีกบ้าง
ข้อมูลจาก : สำนักข่าวเนชั่น
ประธานศาลรธน.ค้านเลิกม.112
นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ เปิดเผยว่า ไม่เห็นด้วยที่จะให้ยกเลิกมาตรา 112ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ถ้าจะยกเลิกมาตรา 112 ก็ต้องยกเลิกรัฐธรรมนูญมาตรา 8 ที่บัญญัติว่า องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใดๆ มิได้ด้วย
ส่วนที่พรรคเพื่อไทย เสนอให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ กล่าวว่า รัฐธรรมนูญทุกฉบับมีทั้งข้อดีและข้อเสีย แก้อย่างไรก็ยังมีช่องน้อยๆให้หลีกเลี่ยงหลุดรอดไปได้ ดังนั้น กฎหมายจะเขียนอย่างไรก็ได้ ที่สำคัญ ถ้าคนมีคุณธรรม ปัญหาก็ไม่เกิด จึงอยากแนะนำว่า ควรแก้นิสัยของคนดีกว่าแก้กฎหมาย.
ที่มา : โพสต์ทูเดย์
"ประยุทธ์"ลั่น! ไม่คบพวกหมิ่นสถาบัน
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก กล่าวถึงกรณีที่มีกลุ่มนักวิชาการ เรียกร้องแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ว่า การแก้ไขกฎหมายใดๆ ขอให้คำนึงถึงความถูกต้องเหมาะสม ให้เป็นไปตามอำนาจ 3 ฝ่าย รวมถึงหลักนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ด้วย ซึ่งที่ผ่านมา รัฐบาลพยายามดูแลเรื่องนี้ ขณะที่ขอให้ประชาชนช่วยดูแลปกป้องสถาบันให้ปลอดภัย ประเทศชาติเข้มแข็ง ทั้งนี้ หากรู้จักและเห็นว่า ใครที่มีพฤติกรรมหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ขอให้เลิกคบค้าสมาคมด้วย พร้อมกับย้ำว่า ไม่มีใครมาเปลี่ยนแปลงประเทศชาติได้ เพราะประเทศเจริญเติมโตมาได้ เนื่องจากมีสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่มีคุณูปการมาช้านาน และยืนยัน ทหารไม่ได้ขัดแย้งกับใคร
ที่มา : ASTVผู้จัดการออนไลน์
ปธ.สภาพัฒนาการเมือง ชี้กฎหมายยุบพรรคทำลายพรรคการเมือง
เมื่อวันที่ 6 มกราคม ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายสุจิต บุญบงการ ประธานสภาพัฒนาการเมือง กล่าวบรรยายในการอบรมหลักสูตรการพัฒนาการเมืองและการเลือกตั้งระดับสูง (พตส.) รุ่นที่ 3 หัวข้อ “การสร้างพรรคการเมืองให้เป็นสถาบันทางการเมืองที่เข้มแข็งความท้าทายภายใต้ระบอบประชาธิปไตย” ว่า 1.ต้องทำให้พรรคการเมืองอยู่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งถ้าพิจารณาจากกฎหมายเห็นว่าการยุบพรรคเป็นตัวทำลายความต่อเนื่องของพรรคการเมือง เพราะทำให้แต่ละพรรคยกมาเป็นประเด็นในการยื่นยุบกันและกัน 2.พรรคการเมืองจะต้องเชื่อมโยงกับประชาชน โดยให้สาขาพรรคและเขตเลือกตั้ง เข้ามามีบทบาทในตัวของผู้สมัคร 3.พรรคการเมืองต้องสร้างความตื่นตัวให้ประชาชน การที่กฎหมายกำหนดว่าคนที่ต้องการจะเป็น ส.ว. กกต. หรือองค์กรอิสระอื่น ห้ามเคยเป็นสมาชิกพรรคการเมือง ทำให้ประชาชนคิดว่าการยุ่งเกี่ยวกับพรรคการเมืองเป็นเรื่องติดลบ เรื่องนี้จะต้องมีการแก้ไข
ที่มา : มติชน
เผยไทยขาดแรงงานภาคอุตฯ เหตุเด็กแห่เรียนปริญญาตรี
กรมจัดหางาน เผย เตรียมตำแหน่งงานว่างกว่า 1.5 แสนอัตรา รองรับแรงงานน้ำท่วมตกงาน ชี้ ไทยขาดแคลนแรงงานภาคอุตสาหกรรม เหตุเด็กเน้นเรียนต่อปริญญาตรี เตรียมผนึกครูแนะแนว-สถานศึกษา เข้าไปแนะแนวเรียนสายอาชีพ-ตำแหน่งงานที่ตลาดต้องการใน ร.ร.
วันที่ 4 ม.ค. 55 นายประวิทย์ เคียงผล อธิบดีกรมการจัดหางาน (กกจ.) กระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า จากจำนวนแรงงานที่ถูกเลิกจ้างจากปัญหาอุทกภัย 25,501 คน และมาลงทะเบียนใช้สิทธิประกันว่างงานของประกันสังคมเพียง 14,000 คน ขณะที่มีตำแหน่งงานว่างรองรับกว่า 150,000 อัตรา ส่วนใหญ่เป็นสายการผลิตชิ้นส่วนอิเลกทรอนิกส์ ยานยนต์ และภาคบริการ ซึ่งถือว่าเพียงพอรองรับแรงงานที่ถูกเลิกจ้างจากปัญหาอุทกภัย แม้จะมีนักศึกษาจบใหม่อีก 6-7 หมื่นคน มาสมทบก็ตาม ส่วนปัญหาการขาดแคลนแรงงานยังเป็นสายการผลิต เนื่องจากแรงงานต่างด้าวที่หนีน้ำท่วมกลับประเทศกลับมาไม่ทั้งหมด เพราะบางส่วนเป็นแรงงานผิดกฎหมาย
“ปัญหาการขาดแคลนแรงงานของไทยต้องแก้ควบคู่กับการศึกษาของเด็กไทย เนื่องจากปัจจุบันเด็กไทยเน้นเรียนต่อระดับปริญญาตรีมากขึ้น ส่งผลให้คุณสมบัติไม่ตรงตามความต้องการของนายจ้าง อย่างไรก็ตาม ในปีนี้ กกจ.มีแผนเชิงรุกในการนำตำแหน่งงานที่ยังขาดแคลนไปให้ความรู้นักเรียนในสถานศึกษา โดยอาศัยช่องทางของครูแนะแนว เพื่อเป็นทางเลือกให้นักเรียนตัดสินในการศึกษาต่อ” นายประวิทย์ กล่าว
นครบาลปัดฝุ่นข้อหาโทรขณะขับ
วันที่ 6 ม.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลัง พล.ต.ท.วินัย ทองสอง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) มอบหมายให้ พล.ต.ต.มานิตย์ วงศ์สมบูรณ์ รองผบช.น. รับผิดชอบด้านการจราจร คุมเข้มการขับขี่ของผู้ใช้รถใช้ถนนให้มีระเบียบวินัยพร้อมบังคับใช้กฎหมายจราจรอย่างเคร่งครัดนั้น ล่าสุด พล.ต.ต.มานิตย์ เตรียมปัดฝุ่นบังคับใช้กฎหมายการกระทำความผิด "โทรขณะขับ" และ ข้อหา" เมาแล้วขับ" เพื่อลดอุบัติเหตุบนท้องถนนโดยสั่งการให้ตำรวจจราจร 88 สน.และกองบังคับการตำรวจจราจร ประชาสัมพันธ์รณรงค์ให้ผู้ขับขี่รับทราบโดยทั่วกันและให้ว่ากล่าวตักเตือนก่อน หากมีการฝ่าฝืนจะถูกจับปรับอย่างจริงจังโทษปรับตั้งแต่ 400-1,000 บาท ยกเว้นผู้ที่ใช้อุปกรณ์ช่วยขณะใช้โทรศัพท์ เช่น สมอลทอล์กและบลูทูธ
และนอกจากจะใช้กำลังตำรวจจราจรทำหน้าที่ตรวจจับและกวดขันวินัยจราจรแล้วยังมีการตรวจจับจากหลักฐานภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหวของกล้องวงจรปิดที่ติดตามสี่แยกใหญ่ต่างๆด้วยทั้งหมด 30 แยก ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการประสานสมาคมวินาศภัยขอติดตั้งกล้องเพิ่มอีก 100 ตัวช่วยในการบันทึกภาพเป็นหลักฐาน มัดตัวสำหรับจับกุมผู้ฝ่าฝืนลดปัญหาการโต้แย้งโต้เถียงด้วย
ที่มา : สำนักข่าวเนชั่น
จ่อเอาผิดผู้จัดคอนเสิร์ต "เข็นร็อคขึ้นภูเขา" หลังพบทำผิดพ.ร.บ.เหล้า
นพ.สมาน ฟูตระกูล ผอ.สำนักงานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า จากการส่งคณะทำงานควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ลงพื้นที่ตรวจสอบการกระทำผิดเกี่ยวกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ช่วงเทศกาลปีใหม่ในพื้นที่ อ.เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ ยังพบว่าพบเทศกาลคอนเสิร์ตเข็นร็อคขึ้นภูเขา มีการทำผิดกฎหมาย โดยมีบริษัทเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ยี่ห้อหนึ่งเป็นผู้ให้การสนับสนุน พร้อมมีการส่งเสริมการขาย ลด แลก แจก แถม อย่างชัดเจน และผู้ขายไม่มีใบอนุญาตการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งมีความผิดตามพระราชบัญญัติ สุรา ปี 2493 มีโทษจำคุก 1 เดือนปรับ 500,000 บาท
นพ.สมาน กล่าวด้วยว่า ทั้งนี้ จากการตรวจสอบใน 3 ภูมิภาค ได้แก่ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และ ภาคใต้ ได้จับกุมดำเนินคดีทั้งสิ้น 76 ราย โดยส่วนใหญ่กระทำผิดฐานความผิดการโฆษณา ส่งเสริมเสริมการขาย รวมทั้งจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในสถานีบริการน้ำมันขณะที่การจัดลานเบียร์ในพื้นที่ห้างสรรพสินค้าในกรุงเทพฯ พบว่ามีแนวโน้มการทำผิดกฎหมายลดลง โดยจะมีการสรุปภาพรวมการตรวจสอบการทำผิดกฎหมายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์รายงานต่อรัฐบาล และ เพื่อเตรียมแผนดำเนินการในช่วงเทศกาลสงกรานต์ต่อไป
ที่มา : มติชน
กรมขนส่งฟันรถฝ่ากฎหมาย
นายสมชัย ศิริวัฒนโชค อธิบดีกรมการขนส่งทางบก เปิดเผยว่า ช่วงเทศกาลปีใหม่ ตั้งแต่วันที่ 29 ธ.ค. 2554 ถึงวันที่ 3 ม.ค. 2555 มีประชาชนร้องเรียนผ่านศูนย์คุ้มครองผู้โดยสารรถสาธารณะ 1584 ถึงจำนวน 435 ราย เป็นการร้องเรียนรถแท็กซี่ จำนวน 320 ราย ความผิดส่วนใหญ่ ได้แก่ ปฏิเสธไม่รับผู้โดยสาร รองลงมาคือ การแสดงกิริยาวาจาไม่สุภาพ และไม่ส่งผู้โดยสารตามที่ตกลงกัน และไม่ใช้มาตรค่าโดยสาร ส่วนการร้องเรียนรถโดยสารสาธารณะ มีจำนวน 115 ราย ความผิดส่วนใหญ่ ได้แก่ ขับรถประมาทหวาดเสียว รองลงมา คือ ไม่หยุดรับ-ส่งผู้โดยสารที่ป้ายรถประจำทาง แสดงกิริยาวาจาไม่สุภาพ และเก็บค่าโดยสารเกินกำหนด นอกจากนี้ กรมการขนส่งทางบกยังได้จัดตั้งจุดพักรถโดยสารสาธารณะ บนถนนสายหลักทั่วประเทศ จำนวน 8 จุด พบรถที่มีข้อบกพร่อง จำนวน 51 คัน รวมทั้งได้ตรวจสอบพนักงานขับรถ พบการกระทำผิด จำนวน 90 ราย ได้แก่ นำรถออกนอกเส้นทางโดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียน, ไม่พกพาใบอนุญาตขับรถ, บรรทุกผู้โดยสารเกินกำหนด และมีปริมาณแอลกอฮอล์ในลมหายใจเกินศูนย์มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ซึ่งกรมได้ดำเนินการลงโทษตามกฎหมายทุกราย
ที่มา : ข่าวสด
เปิดแนวเวนคืน “ปทุมวัน-ราชเทวี” สร้างทางด่วน - ผู้ว่าฯ กทพ.ยันไม่กระทบวังสระปทุม
เผยรายละเอียดแนวเวนคืนสร้างทางด่วนบางโคล่-แจ้งวัฒนะ ผ่านวังสระปทุม-สยามพารากอน ผู้ว่าฯ กทพ.แจง พ.ร.ฎ.เวนคืนล่าสุดเป็นขั้นตอนตามกฎหมายเพื่อต่ออายุ พ.ร.ฎ.เดิมที่ทำมาแล้ว 7 ครั้ง ครั้งละ 4 ปี หลังจากติดปัญหาชุมชนบ้านครัวไม่ยินยอม ส่วนจะมีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ ขึ้นอยู่กับนโยบาย ยืนยันไม่เวนคืนวังสระปทุม-พารากอน-เซ็นทรัลเวิลด์
แนวเวนคืนที่ดินตาม พ.ร.ฎ.ฉบับดังกล่าว ระบุว่ามีส่วนที่แคบที่สุด 350 เมตรและส่วนที่กว้างที่สุด 600 เมตร โดยแนวเวนคืนด้านถนนพระราม 6 เริ่มตั้งแต่สี่แยกพงษ์พระราม บริเวณใต้ทางด่วนศรีรัช ไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ข้ามคลองมหานาคเข้าสู่พื้นที่เขตราชเทวี จากนั้นไปทางทิศตะวันออก ผ่านซอยพญานาค ซึ่งกินพื้นที่ชุมชนบ้านครัวเหนือ และชุมชนบ้านครัวใต้ ผ่านสะพานเฉลิมหล้า 56 (สะพานหัวช้าง) ในรัศมี 50 เมตรจากคลองแสนแสบ ก่อนขนานไปกับถนนเพชรบุรีด้านทิศใต้ ห่างจากแยกราชเทวี 370 เมตร ผ่านแยกประตูน้ำ ถนนราชปรารถ ถนนวิทยุ กินพื้นที่อาคารศูนย์การค้าพันธุ์ทิพย์พลาซา, ศูนย์การค้าแพลทินัม แฟชั่นมอลล์ และธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาสำนักเพลินจิต ก่อนจะบรรจบทางพิเศษเฉลิมมหานคร
จากนั้นแนวเวนคืนที่ดินจะไปทางทิศใต้ ขนานกับทางพิเศษเฉลิมมหานคร 200 เมตร จากนั้นไปทางทิศตะวันตก ขนานไปกับคลองแสนแสบ ผ่านถนนวิทยุ เมื่อผ่านถนนราชดำริไป 200 เมตร แนวเวนคืนที่ดินจะไปทางทิศใต้ บรรจบกับถนนพระราม 1 ผ่านสามแยกเฉลิมเผ่าในรัศมี 450 เมตร กินพื้นที่วัดปทุมวนารามวรวิหาร และพื้นที่บางส่วนของศูนย์การค้าสยามพารากอน จากนั้นแนวเวนคืนที่ดินจะขึ้นไปทางทิศเหนือ และทิศตะวันตก ผ่านพื้นที่วังสระปทุม สะพานเฉลิมหล้า 56 (สะพานหัวช้าง) กินพื้นที่ถนนพญาไทในรัศมี 50 เมตรจากคลองแสนแสบ จากนั้นจะเบี่ยงขนานไปกับถนนพระราม 1 ผ่านสี่แยกเจริญผล ซึ่งกินพื้นที่สถาบันเทคโนโลยีปทุมวัน ห้างสรรพสินค้าเทสโก้ โลตัส พระราม 1 ถึงสี่แยกพงษ์พระราม
ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 7 ม.ค. 2551 มีการประกาศพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินบริเวณที่จะเวนคืนในท้องที่เขตราชเทวี และเขตปทุมวัน กรุงเทพฯ เพื่อสร้างทางการพิเศษสายแจ้งวัฒนะ-บางโคล่ มีผลเมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2551 ใช้บังคับนาน 4 ปี โดยให้ผู้ว่าการทางพิเศษแห่งประเทศไทยเป็นเจ้าหน้าที่เวนคืน โดยในช่วงที่ผ่านมาการทางพิเศษแห่งประเทศไทยมีโครงการก่อสร้างถนนรวมและกระจายการจราจร หรือซีดีโรดบริเวณดังกล่าว นับตั้งแต่สมัยรัฐบาลนายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรีเมื่อปี 2536 เป็นระยะเวลากว่า 19 ปีแล้ว ซึ่งได้บรรจุโครงการดังกล่าวอยู่ในแผนแม่บททางพิเศษที่ต้องดำเนินการ แต่เกิดปัญหาพิพาทกับชาวบ้านในชุมชนบ้านครัวมาโดยตลอด
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 3 ม.ค. เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ รายงานว่า นายอัยยณัฐ ถินอภัย ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) เปิดเผยถึงการต่ออายุพระราชกฤษฎีกาฉบับดังกล่าว ว่าเป็นการดำเนินงานตามกฎหมายเท่านั้น ส่วนในทางปฏิบัติจะเวนคืนหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับนโยบาย ซึ่งต้องหารือกับกระทรวงคมนาคมก่อน สำหรับปัญหาอุปสรรคสำคัญที่ส่งผลให้โครงการก่อสร้างทางลงช่วงถนนราชดำริไม่แล้วเสร็จตามแผน คือ ไม่สามารถเวนคืนที่ดินบริเวณชุมชนบ้านครัวได้ เพราะประชาชนในพื้นที่คัดค้านอย่างหนัก แต่แนวเส้นทางเวนคืนจะไม่ผ่านพื้นที่วังสระปทุม ห้างสรรพสินค้าสยามพารากอน และเซ็นทรัลเวิลด์ โดยแนวเส้นทางจะเลียบคลองแสนแสบแต่ไม่ข้ามคลองแสนแสบมาฝั่งนี้
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมา กทพ.ได้ปรับแบบก่อสร้างบริเวณนี้หลายครั้ง เพื่อเวนคืนที่ดินน้อยที่สุด แต่ชาวบ้านชุมชนบ้านครัวยังคงคัดค้าน ส่งผลให้ กทพ.ไม่สามารถเข้าพื้นที่เพื่อเวนคืนที่ดินได้จนถึงปัจจุบันเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว การต่ออายุ พ.ร.ฎ.เวนคืน ถือเป็นการดำเนินงานปกติ ที่ต้องดำเนินการตามกฎหมาย ซึ่งดำเนินการมาแล้ว 7 ครั้ง ครั้งละ 4 ปี แต่การเวนคืนไม่สามารถดำเนินการได้มานานแล้ว เพราะมีปัญหามวลชนต่อต้านมาก ส่วนในอนาคตจะดำเนินการอย่างไรต่อไป ต้องเป็นเรื่องของระดับนโยบายที่จะตัดสินใจ
ที่มา : ASTVผู้จัดการออนไลน์
สวีเดนรับรอง “การแชร์ไฟล์” เป็นศาสนาทางการ
รัฐบาลสวีเดนรับรอง “การแชร์ไฟล์” ให้เป็นศาสนาที่ถูกต้องตามกฎหมายแล้ววานนี้ ภายใต้ชื่อ ‘Church of Kopimism’ นับเป็นประเทศแรกที่รับรองให้การเชิดชู “ข้อมูลข่าวสาร” และการ “ก็อปปี้” เป็นการกระทำทางศาสนาอันศักดิ์สิทธิ์ หลังจากอิซัค เกอร์สัน ชาวสวีเดนผู้ก่อตั้งลัทธิมิชชันนารีแห่งก็อปปีอิสม์ (The Missionary Church of Kopimism) ถูกปฏิเสธจากขอยื่นคำร้องขอจดทะเบียนแล้วสองครั้งตั้งแต่ปี 2553
เว็บไซต์ torrentfreak ซึ่งเป็นเว็บไซต์ข่าวเกี่ยวกับการแชร์ไฟล์และบิตทอร์เรนท์รายงานว่า ลัทธิ ‘Kopimism’ ซึ่งนับถือเครื่องหมาย CTRL+C และ CTRL+V เป็นสัญลักษณ์อันศักดิ์สิทธิ์ หวังว่าการจดทะเบียนให้การแชร์ข้อมูลมีสถานะเป็นศาสนาทางการ จะช่วยป้องกันการดำเนินคดีทางกฎหมายเกี่ยวกับการละเมิดลิขสิทธิ์และการแชร์ข้อมูลทางอินเตอร์เน็ต
อิซัค ผู้ก่อตั้งลัทธิดังกล่าว ให้สัมภาษณ์เว็บ torrentfreak ว่า เขาหวังว่าจะมีคนเปิดเผยตัวออกมาในฐานะคนนับถือศาสนาก็อปปีอิสม์ (Kopimists) มากขึ้น เนื่องจากในปัจจุบันการ “ก็อปปี้” หรือการแชร์ข้อมูลถูกมองว่าอาจส่งผลกระทบทางข้อกฎหมาย ทำให้หลายคนเกรงว่าอาจถูกจับกุมจากการก็อปปีและเผยแพร่ข้อมูล ซึ่งเขาหวังว่าการก่อตั้งศาสนานี้จะทำให้ความคิดดังกล่าวเปลี่ยนไป
อ่านเพิ่มเติม : ประชาไท (ผ่าน torrent freak)
ชาวฮังการีประท้วงรัฐใช้รัฐธรรมนูญใหม่ สูญเสียความเป็นประชาธิปไตย
ชาวฮังการีนับหมื่นคน รวมตัวกันที่กรุงบูดาเปสต์ เพื่อต่อต้านรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่รัฐบาลจะนำมาบังคับใช้ ซึ่งจะทำให้กระบวนการทางประชาธิปไตยอ่อนแอลง และเพิ่มอำนาจให้แก่ฝ่ายรัฐบาลมากยิ่งขึ้น
ก่อนหน้านี้ มีหลายฝ่ายที่ออกมาทักท้วงรัฐธรรมนูญฉบับนี้ที่จะมาแทนที่รัฐธรรมนูญฉบับเก่า เช่น นางฮิลลารี คลินตัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ รวมถึงคณะกรรมาธิการของสหภาพยุโรป แต่รัฐบาลฮังการียืนยันที่จะให้สภาผ่านร่างกฎหมายนี้โดยเร็ว
ขณะที่ นักวิจารณ์มองว่า รัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะทำให้อำนาจของศาลรัฐธรรมนูญที่จะมีบทบาทในการร่วมพิจารณาร่างกฎหมายต่างๆลดลง พร้อมกับทำให้ธนาคารกลางของประเทศขาดความเป็นอิสระ อีกทั้งยังทำให้รัฐบาลมีอำนาจในการแต่งตั้งหน่วยงานต่างๆขึ้นมาดำเนินการได้อย่างเต็มที่ ตลอดระยะเวลาที่อยู่ในวาระ
ข้อมูลส่วนหนึ่งจาก : VoiceTV
ญี่ปุ่นหนักอก! แอปพลิเคชันปิดเสียงชัตเตอร์ทำ “รูปแอบถ่าย” ระบาดหนัก
เดลิเมล์ - สมาร์ทโฟนส่วนใหญ่มักกำหนดให้มีเสียงชัตเตอร์กล้องถ่ายรูป เพื่อป้องกันการละเมิดสิทธิโดยลอบถ่ายภาพบุคคลที่ไม่ยินยอม ทว่า ปัจจุบัน มีแอปพลิเคชันปิดเสียงชัตเตอร์ปรากฎออกมาจำนวนมาก ซึ่งล้วนออกแบบมาเพื่อการแอบถ่าย เป็นสาเหตุให้มีภาพโป๊ที่ผิดกฎหมายระบาดหนักในญี่ปุ่น
นักวิชาการในญี่ปุ่นเรียกร้องให้มีการจัดระเบียบแอปพลิเคชันปิดเสียงชัตเตอร์ โดยระบุว่า แอปพลิเคชันเหล่านี้ถูกใช้ก่ออาชญากรรม
ปีที่ผ่านมา ญี่ปุ่นมีคดีแอบถ่ายมากถึง 1,741 คดี เพิ่มขึ้นกว่า 60 เปอร์เซ็นต์ จากเมื่อ 5 ปีที่แล้ว ทั้งนี้ แอปพลิเคชันประเภท “ไซเลนต์ คาเมรา” ถูกกล่าวหาว่าเป็นต้นตอของปัญหา ซึ่งผู้ที่แอบถ่ายสามารถปกปิดพฤติกรรมของตนได้แนบเนียนขึ้นด้วยการแสร้งดูอีเมล์หรือพิมพ์ข้อความ ขณะที่กำลังแอบถ่ายภาพเหยื่อ ปัจจุบัน มีแอปพลิเคชันปิดเสียงชัตเตอร์จำนวนมากในแอนดรอยด์ มาร์เกต และไอทูนส์ แอป สโตร์ โดยเฉพาะในแอนดรอยด์มีหลายสิบแอปพลิเคชันที่อธิบายตัวเองอย่างชัดเจนว่า เหมาะสำหรับการแอบถ่าย
ที่มา : ASTVผู้จัดการออนไลน์
ซาอุฯห้ามผู้ชายทำงานในร้านจำหน่ายชั้นในสตรี
สำนักข่าวบีบีซีรายงานว่าทางการซาอุดิอาระเบียออกกฎหมายห้ามผู้ชายทำงานที่ร้านจำหน่ายชุดชั้นในสตรี หลังจากที่มีผู้หญิงจำนวนมาก รู้สึกอึดอัดที่มีผู้ชายประจำอยู่ที่ร้านจำหน่ายชุดชั้นใน ทำให้พวกเธอไม่กล้าที่จะใช้บริการ โดยพวกเธอกล่าวว่า พวกเธอไม่กล้าซื้อของจากร้านที่มีผู้ชายเป็นพนักงานขาย
ก่อนหน้านี้ มีนักรณรงค์เพื่อผู้หญิงจำนวนมาก ได้ทำแคมเปญในเฟซบุ๊ก เพื่อเรียกร้องให้ทางการซาอุดิอาระเบียออกมาตรการบางอย่าง เพื่อจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้น เพราะในขณะนี้ มีผู้หญิงจำนวนมาก ที่หันไปซื้อชุดชั้นใน และเครื่องสำอางจากต่างประเทศแทน เพื่อความสบายใจ
หลายฝ่ายคาดการณ์ว่า หลังจากที่กฎหมายฉบับดังกล่าวบังคับใช้ จะทำให้ผู้หญิงซาอุฯจำนวนมากมีงานทำ เบื้องต้นอาจมีการจ้างงานเพิ่มขึ้นถึง 40,000 อัตรา เนื่องจากปัจจุบัน ผู้หญิงซาอุฯที่มีงานทำ ส่วนใหญ่จะเป็นผู้หญิงที่มีการศึกษาสูง และทำงานในอาชีพเฉพาะทาง เช่น แพทย์ หรืองานการเมือง ขณะที่ ตำแหน่งของผู้ให้บริการในร้านต่างๆ มักจะเป็นของผู้ชายชาวต่างชาติ ที่เข้ามาทำงานในซาอุดิอาระเบีย ซึ่งหลังจากนี้ พวกเขาอาจกลายสภาพเป็นคนตกงานไปโดยปริยาย
อย่างไรก็ตาม กฎหมายฉบับดังกล่าว ได้รับเสียงต่อต้านจากฝ่ายที่เคร่งศาสนา เนื่องจากตามกฎหมายอิสลามนั้น ห้ามผู้หญิงออกมาทำงานนอกบ้าน โดยพวกเขาเชื่อว่า การที่ทางการซาอุดิอาระเบียอนุญาตให้ผู้หญิงออกมาทำงานได้นั้น อาจก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างฝ่ายเสรีนิยม กับฝ่ายอนุรักษ์นิยมในอนาคต
ทั้งนี้ ในเดือนกรกฎาคมเป็นต้นไป ทางการซาอุดิอาระเบีย จะสั่งห้ามมิให้ผู้ชายทำงานในร้านจำหน่ายเครื่องสำอางอีกด้วย โดยในช่วงแรกของการบังคับใช้กฎหมาย จะมีเจ้าหน้าที่ออกไปตรวจสอบในร้านค้าต่างๆ เพื่อดูแลความเรียบร้อย
ที่มา : VoiceTV