ครม.ไฟเขียวร่างกฎหมายตั้งกองทุนสื่อปลอดภัยฯ
ครม.ไฟเขียว ร่างกฎหมายตั้งกองทุนสื่อปลอดภัยฯ สร้างกลไกเฝ้าระวังสื่อ ปลัด วธ.เผยชงเข้าสภาได้ทันที และไม่จำเป็นต้องเสนอให้กฤษฎีกาพิจารณาอีก
2 เม.ย. 55 นางสุกุมล คุณปลื้ม รมว.วัฒนธรรม (วธ.) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ พ.ศ. ... ตามที่ วธ.เสนอ เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการผลิตและพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ รวมถึงพัฒนาศักยภาพในการผลิตและพัฒนาสื่อให้มีคุณภาพ ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน ในการพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ให้กระจายไปทุกระดับ รวมทั้งเป็นการสร้างกลไกในการรู้เท่าทันและเฝ้าระวังสื่อ โดยมีคณะอนุกรรมการกองทุนเพื่อพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ทำหน้าที่กำหนดการบริหาร ให้ความเห็นชอบแผนการดำเนินงาน และกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการจัดสรรเงินที่ให้การสนับสนุนกิจกรรมด้านต่างๆ
นายสมชาย เสียงหลาย ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า ร่าง พ.ร.บ.กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยฯ วธ.ได้ผ่านการเห็นชอบของ ครม. เมื่อรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี มาแล้ว รวมทั้งได้มีการนำเสนอกฤษฎีกาพิจารณาเรียบร้อยแล้ว แต่เนื่องจากได้เปลี่ยนรัฐบาล จึงต้องเสนอเข้าที่ประชุม ครม. พิจารณาใหม่อีกครั้ง เมื่อผ่านการเห็นชอบก็สามารถนำเสนอบรรจุในวาระสภานิติบัญญัติได้ทันที และไม่จำเป็นต้องเสนอให้กฤษฎีกาพิจารณาอีก
สำหรับร่าง พ.ร.บ.กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยฯ ได้กำหนดให้มีการจัดตั้งสำนักงานกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ขึ้น โดยจะได้รับการจัดสรรแหล่งเงินทุน ในการบริหารจัดการกองทุนจาก 3 ส่วนหลัก ได้แก่ 1. เงินรายได้จากกองทุน สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (สำนักงาน กสทช.) 2. ค่าปรับจากการละเมิดลิขสิทธิ์ ตามกฎหมายลิขสิทธิ์ ของกระทรวงพาณิชย์ และ 3. เงินรายได้จากค่าธรรมเนียมใบอนุญาตที่ออกตาม พ.ร.บ.ภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติ
“หากกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยฯ สามารถผ่านการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแล้ว จะเป็นหน่วยงานพัฒนาสนับสนุนการวิจัย การส่งเสริมสื่อทุกประเภทให้มีเนื้อหาสาระที่ดีและมีคุณภาพ ทั้งสื่อสิ่งพิมพ์ สื่ออิเล็กทรอนิกส์ วิทยุ โทรทัศน์ รวมถึงสื่อพื้นบ้าน โดยรูปแบบของกองทุนจะมีผู้จัดการกองทุน ซึ่งเป็นบุคคลภายนอก รวมถึงมีปลัดกระทรวงแต่ละกระทรวง และผู้ทรงคุณวุฒิ สาขาต่างๆ ร่วมเป็นคณะกรรมการ ส่วนการบริหารจัดการจะต้องมีการจัดทำแผนบริหาร การจัดทำงบประมาณรายจ่าย การจัดตั้งคณะกรรมการตรวจสอบกองทุน ทั้งนี้ ผมคิดว่ารัฐบาลชุดนี้จะให้ความสำคัญ เนื่องจากนโยบายหลักด้านสังคม ได้มีการวาระการพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์บรรจุด้วย” ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม กล่าว
ที่มา : ไทยรัฐออนไลน์
ครม. เห็นชอบร่างพ.ร.บ.ความเท่าเทียมระหว่างเพศ
2 เม.ย. 55 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป
สาระสำคัญของร่างกฎหมาย กำหนดให้มีคณะกรรมการส่งเสริมความเท่าเทียมกันระหว่างเพศ (คณะกรรมการ สทพ.) และ คณะกรรมการวินิจฉัยการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ (คณะกรรมการ วลพ.) โดยให้สำนักงานกิจการสตรีและสถาบันครอบครัวรับผิดชอบงานธุรการและงานวิชาการ ของคณะกรรมการ สทพ. และคณะกรรมการ วลพ.
ร่างกฎหมายยังกำหนดให้คณะกรรมการ วลพ. อาจกำหนดมาตรการชั่วคราวก่อนมีคำวินิจฉัยเพื่อคุ้มครองหรือบรรเทาทุกข์แก่ บุคคลซึ่งถูกเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศเท่าที่จำเป็นและสมควรแก่ กรณีก็ได้ ในกรณีคณะกรรมการ วลพ. มีคำวินิจฉัยว่ามีการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ ผู้เสียหายมีสิทธิขอรับการสงเคราะห์ โดยการสงเคราะห์ผู้เสียหายให้กระทำโดยให้ความช่วยเหลือ หรือให้ความช่วยเหลือทางการเงินตามที่กำหนด
นอกจากนี้ ยังกำหนดให้มีกองทุนส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศเพื่อเป็นทุนใช้จ่าย เกี่ยวกับการส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ และกำหนดกรอบวัตถุประสงค์ของการใช้จ่ายเงินในกองทุน
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม : มติคณะรัฐมนตรี
NGO เสนอออกกฎหมายจารีต ผลักดันวิถีชุมชนคนอยู่กับป่า
นายสมหมาย ทรัพย์รังสิตกุล ปราญช์ชาวปกาเกอะญอ กล่าวในการประชุมวิชาการ "การปฏิรูปเชิงพื้นที่ระดับจังหวัดและภูมินิเวศ" เพื่อสานพลังเติมเต็มศักยภาพ การปฏิรูปขบวนชุมชนท้องถิ่นในระดับพื้นที่ตำบล จังหวัด ภูมินิเวศ สู่การจัดระบบความสัมพันธ์ใหม่ และเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการพัฒนาในระดับพื้นที่ ว่า คนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่าชาวกะเหรี่ยง หรือชาวเขา เป็นผู้ทำลายป่า เป็นผู้ทำลายแหล่งต้นน้ำลำธารทำให้น้ำแล้ง แต่หากมองกันดีๆ ภาพของการบุกรุกทำลายป่า ภูเขา มีแต่ไร่ข้าวโพดนั้น มีนายทุนเป็นผู้อยู่เบื้องหลังแทบทั้งสิ้น สัตว์ป่า งาช้าง ใครอยากได้ถ้าไม่ใช่คนนอกอย่างนายทุน ขณะที่คนกะเหรี่ยงมีวิถีที่พอเพียง และเคารพธรรมชาติ ถ้าให้ชาวบ้านจัดการตนเอง ดูแลรักษาผืนป่าผู้หลักผู้ใหญ่ต้องล้างสมองตัวเองก่อน และทุกคนต้องจัดการตัวเอง
นายยุทธชัย บุตรแก้ว มูลนิธิสืบนาคะเสถียร กล่าวว่า ควรผลักวิถีชุมชน วิถีของคนที่อยู่ร่วมกับป่า ออกเป็นกฎหมาย หรือระเบียบ อาจไม่เหมือนกันทุกพื้นที่ เป็นลักษณะของกฎหมายเชิงจารีตประเพณี เพื่อมีพื้นที่ให้ชาวบ้านชนเผ่า หรือชาวเล มีพื้นที่เข้าไปเสนอความคิด มีส่วนร่วมในการกำหนดอนาคตของตนเอง ความเข้าใจระหว่างกันของเจ้าหน้าที่กับชาวบ้านเป็นเรื่องสำคัญ เพราะในอดีตที่ผ่านมาจนปัจจุบันความขัดแย้งยังคงดำรงอยู่ แต่ก็มีทิศทางที่ดีขึ้น เมื่อคนต้นน้ำไม่มีกิน ก็จะกระทบกับคนปลายน้ำอย่างแน่นอน เพราะเมื่อชาวบ้านเป็นหนี้ ชาวบ้านไม่รู้จะจัดการอย่างไร ก็เข้าป่าล่าสัตว์ หรือเอาสินทรัพย์จากป่าสร้างรายได้เพื่อใช้หนี้
นายหาญณรงค์ เยาวเลิศ ประธานมูลนิธิเพื่อการบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการ กล่าวว่า หากดูเรื่องการจัดการตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ ซึ่งการจัดการต้องต่างกัน แต่ละชุมชนมีสิทธิในการจัดการตนเองโดยมีข้อตกลงร่วมกัน ภาครัฐต้องวางแผนการพัฒนาเศรษฐกิจที่สอดคล้องกับชุมชน การจัดการป่าต้นน้ำ ปัจจุบันมีคนขัดแย้งกับรัฐถึง 4 ล้านคน ในเรื่องที่ดินทำกินหากต้องย้ายคน 4 ล้านคน นับเป็นเรื่องน่ากังวล รัฐส่วนกลางต้องสร้างความเป็นธรรมกับชุมชนอื่น หน่วยงานผู้วางแผนต้องเข้าใจชุมชน การจัดการอำนาจจากส่วนกลาง ภูมิภาค ส่วนท้องถิ่น ส่วนท้องถิ่นต้องมีข้อเสนอที่สมดุล ต้องฟังจากข้างล่าง ชุมชนมีส่วนร่วมอะไร
ที่มา : ASTVผู้จัดการออนไลน์
เผย กกต.เคยส่งหนังสือด่วนขอ กมธ.ออก กม.เฉพาะเลือก ส.ส.ร.
เผย “กกต.” เคยทำหนังสือด่วนถึง กมธ.ค้านนำหลักเกณฑ์และวิธีการเลือกตั้ง ส.ส.มาใช้กับเลือกตั้ง ส.ส.ร. พร้อมเสนอควรออกเป็นกฎหมายเลือกตั้ง ส.ส.ร.ไว้เป็นการเฉพาะ
4 เม.ย.55 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายภุชงค์ นุตราวงศ์ เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้มีหนังสือด่วนที่สุด ที่ ลต 0301/4219 เมื่อวันที่ 27 มีนาคมที่ผ่านมา ถึงประธาน กมธ.พิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฯ เรื่อง ข้อเสนอเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญฯ โดยหนังสือดังกล่าวระบุว่า กกต.ได้มีการประชุมครั้งที่ 31/2555 เมื่อวันที่ 27 มีนาคม เห็นว่า การที่จะให้มีการเลือกตั้ง ส.ส.ร.โดยกำหนดให้เป็นไปตามระเบียบที่ กกต.กำหนดโดยอาจนำหลักเกณฑ์และวิธีการเลือกตั้ง ส.ส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้งมาบังคับใช้โดยอนุโลม ตามมาตรา 291/5 นั้น กกต.มีมติเห็นว่า ในการเลือกตั้ง ส.ส.ร.ในครั้งนี้ควรจะมีหลักเกณฑ์และวิธีการเลือกตั้ง ส.ส.ร.โดยออกเป็นกฎหมายเลือกตั้ง ส.ส.ร.ไว้เป็นการเฉพาะ
ที่มา : ASTVผู้จัดการออนไลน์
มาร์คแนะใช้กฎหมาย ส.ว. เลือกตั้ง สสร.
“อภิสิทธิ์” ติงเลือก ส.ส.ร.ใช้กฎหมายเลือกตั้งท้องถิ่น แนะใช้กฎหมายเลือกตั้ง ส.ว. หรือเขียนให้ชัดห้ามการเมืองยุ่ง เตือน รัฐหลงอำนาจจะนำไปสู่วิกฤติขัดแย้งรอบใหม่
ที่รัฐสภา นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯ กล่าวถึงกรณีที่คณะกรรมาธิการ (กมธ.) ร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ฉบับที่ ... พ.ศ..... ระบุการเลือกตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.)โดยให้ใช้ พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นว่า อยากตั้งคำถามต่อ กมธ. เพราะตนเป็นผู้แปรญัญติ คือ กมธ.เสนอให้ใช้ พ.ร.บ.เลือกตั้งท้องถิ่น ก็มีข้อสังเกตว่า การใช้กฎหมายการเลือกตั้งท้องถิ่นหมายถึง พรรคการเมืองสามารถส่ง ส.ส.ร. ลงสมัครรับเลือกตั้งได้หรือ และที่ฟังมาตลอดก็ไม่เห็นมีใครบอกว่าจะใช้รูปแบบนี้ จึงคิดว่าทำไมไม่ใช้กฎหมายการเลือกตั้ง ส.ว.เพราะเป็นการเลือกตั้งที่ไม่เกี่ยวกับพรรคการเมือง แต่เป็นเรื่องการแนะนำตัวในการมาทำหน้าที่ก็คงจะไม่ต่างกับ ส.ส.ร.มากนัก ในเรื่องของแง่กฎหมายหรือแง่การจัดทำร่างรัฐธรรมนูญ
ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีที่นางสดศรี สัตยธรรม กกต. ออกมาสนับสนุนให้ใช้ พ.ร.บ.การเลือกตั้งท้องถิ่นมาใช้ในการเลือกตั้ง ส.ส.ร. นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า กกต.คงมองข้ามประเด็นเรื่องพรรคการเมือง เมื่อถามย้ำว่า กกต.อ้างว่าเป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณและใช้งบประมาณน้อยลง นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ไม่ใช่ เพราะเรื่องที่ กกต.เป็นห่วง คือเรื่องสิ้นเปลืองและการจัดการเลือกตั้งล่วงหน้า ซึ่งในรัฐธรรมนูญแก้ไขก็เขียนไว้อยู่แล้วว่า บทไหนที่อยากจะยกเว้นก็สามารถทำได้ ฉะนั้นถ้าอยากจะใช้กฎหมายเลือกตั้ง ส.ว. แต่ไม่ให้มีการเลือกตั้งล่วงหน้าก็ทำได้ แต่ถ้าไปกฎหมายเลือกตั้งท้องถิ่นแล้วจะไปห้ามไม่ให้พรรคการเมืองส่งผู้สมัคร ไม่สามารถทำได้ เชื่อว่าทุกคนก็ต้องช่วยกันตรวจสอบ
เมื่อถามว่า คิดว่าระบบการทำงานของสภาฯ แตกต่างจากปี 48 ในยุคของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ อย่างไร นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนเคยเตือนแล้วว่า วิกฤติความขัดแย้งทั้งหมดเกิดจาการใช้อำนาจเวลาที่มีเสียงข้างมากโดยไม่มีขอบเขต เพราะถ้าทำอย่างนั้นความขัดแย้งจะเกิดขึ้นอีกและควรมีบทเรียน
“วันนี้ก็คงจะย้อนกลับไป ซึ่งเห็นได้ชัดเจนว่า มีการห้ามพรรคฝ่ายค้านฯ ออกโทรทัศน์อะไรต่างๆ และเป็นเรื่องที่ไม่เรียนรู้จากอดีตที่ผ่านมา แต่การปิดกั้นพื้นที่ในการแสดงออกตามวิถีการของระบอบประชาธิปไตย สุดท้ายก็มักจะนำไปสู่ความขัดแย้งที่รุนแรงมากขึ้น” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
เมื่อถามว่า การใช้เสียงข้างมากโดยละทิ้งความชอบธรรมกระทบกับรัฐบาลหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ในที่สุดก็จะกระทบ ซึ่งก็เหมือนกับสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ 377 เสียง แต่สุดท้ายก็นำไปสู่วิกฤติ เพราะไม่รู้จักการใช้เสียงข้างมากโดยมีขอบเขต เมื่อถามว่า ถ้ารัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯ ทำสำเร็จทั้งเรื่องการนิรโทษกรรม และเรื่องการลบล้างคดีของ คตส.ทั้งหมด ความปรองดองจะเกิดขึ้นในชาติได้หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า จะกลายเป็นปมความขัดแย้งใหม่
ที่มา : ไทยรัฐออนไลน์
ครม.ขยายเวลาประชุมรัฐสภาไม่มีกำหนด อ้าง ก.ม.ค้างพิจารณาเยอะ
นายภักดีหาญส์ หิมะทองคำ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงมติคณะรัฐมนตรีวันนี้ ว่า ที่ประชุมเห็นชอบให้ขยายเวลาการประชุมรัฐสภาสมัยสามัญนิติบัญญัติ พ.ศ.2555 ที่จะครบกำหนดตามกฎหมาย 120 วัน ในวันที่ 18 เมษายนนี้ แต่เนื่องจากร่างพระราชบัญญัติต่างๆ ยังอยู่ในการพิจารณาของสภาฯ ดังนั้น ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีจึงเห็นชอบให้ขยายกรอบเวลาการประชุมออกไปไม่มีกำหนด ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 127 มาตรา 128 และมาตรา 187
ที่มา : ASTVผู้จัดการออนไลน์
"เครือข่ายแรงงาน" วอน "ปชป." ผลักดัน กม.ประกันสังคม
5 เม.ย. 55 น.ส.วิไลวรรณ แซ่เตีย ประธานคณะทำงานด้านกฎหมายประกันสังคม ได้เข้ายื่นหนังสือต่อนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) เรียกร้องให้พรรคประชาธิปัตย์ผลักดันให้ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฏรพิจารณาร่างพ.ร.บ.ประกันสังคม (ฉบับพ.ศ.....) ให้ผ่านความเห็นชอบในการประชุมสภาในสมัยนี้ โดยน.ส.วิไลวรรณ กล่าวว่า สภาผู้แทนราษฎร ได้มีการบรรจุวาระดังกล่าว เป็นเรื่องด่วนในลำดับที่ 12 ซึ่งรวมถึงร่าง พ.ร.บ.ที่ประชาชนผู้สิทธิเลือกตั้งจำนวน 14,264 คน แต่ทางเครือข่ายผู้ใช้แรงงานมีความกังวลว่า สภาผู้แทนราษฎร ยังไม่มีความชัดเจนที่จะพิจารณาร่างกฎหมายดังกล่าว จึงขอให้ทางพรรคประชาธิปัตย์ผลักดันให้ร่างดังกล่าวเสร็จสิ้นในสมัยการประชุมนี้
ด้านนายจุรินทร์ กล่าวว่า ทางพรรคสนับสนุนการพิจารณากฎหมายฉบับนี้ อีกทั้งนายนคร มาฉิม ส.ส.พิษณุโลก ก็ได้เสนอร่างกฎหมายดังกล่าวด้วย แต่จะได้รับการพิจารณาเร็วหรือช้า ไม่ได้ขึ้นอยู่กับฝ่ายค้าน แต่ขึ้นอยู่กับวิปรัฐบาล เนื่องจากมีเสียงข้างมาก แต่ก็ยินดีที่จะสนับสนุน
ที่มา : ศูนย์ข่าวอาร์เอสยูนิวส์
คุม ซูโดอีเฟดรีน วิทยาขู่ ไม่ส่งคืนเจอโทษหนัก
รมว.สธ. แจงมาตรการควบคุม "ซูโดอีเฟดรีน" แก่ผู้ประกอบการ หลังประกาศกระทรวงสาธารณสุข ให้ยาสูตรผสมซูโดอีเฟดรีนเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 และมีผลใช้บังคับวันนี้ ขีดเส้นตายให้ปฏิบัติถูกต้องตามกฎหมาย ชี้ตรวจพบไม่ส่งคืน สั่งลงโทษสถานหนัก
4 เม.ย.55 ที่โรงแรมรามาการ์เด้นส์ นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และนายแพทย์พิพัฒน์ ยิ่งเสรี เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย. ประชุมชี้แจงมาตรการควบคุมซูโดอีเฟดรีน ให้แก่ผู้ผลิต ผู้นำเข้า ตัวแทนจากโรงพยาบาลรัฐ/โรงพยาบาลเอกชน/คลินิก และตัวแทนร้านขายยา ประมาณ 200 คน ภายหลังออกประกาศกระทรวงให้ยาสูตรผสมซูโดอีเฟดรีน เป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 และจะมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา คือ วันที่ 4 เมษายน 2555 โดยภายใน 30 วัน คือภายในวันที่ 3 พฤษภาคม 2555 ให้สถานพยาบาลที่ไม่มีใบอนุญาตให้มีไว้ในครอบครองหรือใช้ประโยชน์ซึ่งวัตถุ ออกฤทธิ์ในประเภท 2 และไม่ประสงค์จะมีไว้ในครอบครองยาตำรับที่มีซูโดอีเฟดรีนเป็นส่วนผสม เพื่อการบำบัดรักษา และร้านขายยาทุกแห่ง ดำเนินการจัดส่งยาตำรับที่มีซูโดอีเฟดรีนเป็นส่วนผสม คืนให้กับผู้ผลิตหรือผู้นำเข้า
นายวิทยา กล่าวอีกว่า กระทรวงสาธารณสุขยังได้ออกประกาศเรื่อง กำหนดปริมาณการมีไว้ในครอบครองหรือใช้ประโยชน์ซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 1 หรือประเภท 2 พ.ศ.2555 โดยสาระสำคัญ คือ กรณีการครอบครองซูโดอีเฟดรีน คำนวณปริมาณเป็นสารบริสุทธิ์แล้วไม่เกิน 5 กรัม มีโทษตามมาตรา 106 ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1-5 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000-100,000 บาท ส่วนกรณีการครอบครองซูโดอีเฟดรีน คำนวณปริมาณเป็นสารบริสุทธิ์แล้วเกิน 5 กรัม มีโทษตามมาตรา 106 ทวิ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 5-20 ปี และปรับตั้งแต่ 100,000-400,000 บาท ซึ่งการออกประกาศทั้ง 2 ฉบับนี้ ได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทเรียบร้อยแล้ว
ด้านนายแพทย์พิพัฒน์ ยิ่งเสรี เลขาธิการฯ อย. กล่าวเพิ่มเติมว่า เพื่อให้เกิดการปฏิบัติที่ถูกต้องตามกฎหมาย อย.ได้จัดทำแนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับการมีไว้ในครอบครอง หรือใช้ประโยชน์จากซูโดอีเฟดรีน สำหรับผู้ผลิต/ผู้นำเข้า/โรงพยาบาลรัฐ/โรงพยาบาลเอกชน/คลินิก และร้านขายยา โดยสรุปดังนี้
- กรณีร้านขายยา ให้ส่งคืนยาสูตรผสมซูโดอีเฟดรีน เฉพาะสูตรผสมพาราเซตามอล ให้กับผู้ผลิต/ผู้นำเข้า ภายใน 30 วัน นับจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา หากพ้นกำหนด ตรวจพบว่ามีการครอบครองยาสูตรผสมซูโดอีเฟดรีนทุกสูตร จะมีโทษทั้งจำและปรับดังกล่าวข้างต้น
- กรณีบริษัทผู้ผลิตเพื่อจำหน่าย ผู้ผลิตที่เป็นผู้ที่มีใบอนุญาตให้มีไว้ในครอบครอง ซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 (ซูโดอีเฟดรีน) เพื่อผลิตอยู่แล้ว อย. ให้ใช้ได้สำหรับการครอบครองยาสูตรผสมซูโดอีเฟดรีนที่เป็นยาสำเร็จรูปด้วย และจะมีการรับคืนยาสูตรผสม เฉพาะสูตรผสมพาราเซตามอล จากร้านขายยาและสถานพยาบาลที่ไม่ประสงค์จะขอรับอนุญาตครอบครองวัตถุออกฤทธิ์ ในประเภท 2 พร้อมทั้งต้องรวบรวมปริมาณคงคลัง ที่ได้รับคืนจากร้านขายยาและสถานพยาบาลทั้งหมด แจ้งกลับมายัง อย. ภายในวันที่ 3 พฤษภาคม 2555 ผู้ผลิตที่ได้รับมอบหมายให้จำหน่ายต้องแก้ไขฉลากให้ถูกต้องตามที่ อย. กำหนด เช่น เพิ่มข้อความ “วัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2” ปิดทับเลขทะเบียนตำรับยาเดิม
- โรงพยาบาลรัฐในสังกัดกระทรวง ทบวง กรม จะได้รับการยกเว้นไม่ต้องขอใบอนุญาตครอบครอง ส่วนโรงพยาบาลเอกชน/คลินิก ต้องขอใบอนุญาตครอบครองฯ โดยในส่วนภูมิภาคยื่นขออนุญาตได้ที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทุกจังหวัด ส่วนกรุงเทพฯ ยื่นขออนุญาตได้ที่ อย. และให้ทุกโรงพยาบาลทั้งรัฐ เอกชน คลินิก ต้องจัดทำบัญชีรับ-จ่าย ยาซูโดอีเฟดรีน ตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด
อ่านเพิ่มเติม : ไทยรัฐออนไลน์
'ทีอาร์ไอ'เตือนขึ้นค่าจ้าง 300!! แรงงานไร้ทักษะเสี่ยงตกงานสูง
ทีดีอาร์ไอเผยขึ้นค่าจ้าง 300 บาท เอสเอ็มอีรับผลกระทบมากสุดต้องปรับตัวลดคน หรือปิดกิจการ ชี้การปรับขึ้นค่าจ้างอย่างฉับพลัน หากไม่มีมาตรการรองรับที่ดี ผลกระทบอาจรุนแรงเกินคาด โดยเฉพาะต่อกลุ่มแรงงานทักษะต่ำ อายุน้อยไม่เกิน 25 ปี เสี่ยงตกงาน หรือถูกผลักไปทำงานนอกระบบ รับค่าจ้างต่ำกว่าขั้นต่ำ ไม่ได้รับสวัสดิการและคุ้มครองตามกฎหมาย
ดร.ดิลกะ ลัทธพิพัฒน์ นักวิชาการ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย หรือ ทีดีอาร์ไอ ทำการศึกษาผลกระทบของการดำเนินนโยบายรายได้ค่าแรงไม่น้อยกว่า 300 บาทต่อวัน โดยระบุว่า การกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำยังจำเป็นต้องมีในบริบทของประเทศไทย และควรทำเพื่อช่วยเหลือลูกจ้างระดับล่างที่มีอำนาจต่อรองน้อยให้มีรายได้และ คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ทั้งนี้ในช่วง 25 ปีที่ผ่านมา อัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่แท้จริงลดลงอย่างต่อเนื่องหลังจากวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 โดยปกติอัตราค่าจ้างขั้นต่ำในประเทศไทยนั้นจะกำหนดโดยคณะกรรมการค่าจ้างภาย ใต้ ระบบไตรภาคี ซึ่งประกอบด้วยตัวแทนฝ่ายลูกจ้าง ฝ่ายนายจ้าง และตัวแทนจากภาครัฐ ดังนั้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่ลดลงอย่างต่อเนื่องจึงสะท้อนถึงความไม่มี อำนาจในการต่อรองของฝ่ายลูกจ้าง
ดังนั้นการปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำจะเป็นประโยชน์กับแรงงานภาคการผลิต โดยเฉพาะกลุ่มที่มีรายได้ต่ำและมีอำนาจต่อรองน้อย ซึ่งจะต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อการจ้างงาน และการเคลื่อนย้ายแรงงานระหว่างภาคการผลิตที่เป็นทางการและที่ไม่เป็นทางการ และจากการศึกษาเฉพาะกลุ่มแรงงานอายุ 15-24 ปี ซึ่งมีทักษะต่ำที่มีการศึกษาในระดับมัธยมปลายหรือต่ำกว่าเท่านั้น จะได้รับผลกระทบจากการปรับตัวของสถานประกอบการเอสเอ็มอี และกิจการขนาดใหญ่มากที่สุด
จากผลการศึกษาชี้ว่าเมื่อตกงาน แรงงานส่วนใหญ่ในกลุ่มนี้จะเคลื่อนย้ายไปเป็นแรงงานธุรกิจครัวเรือนที่ไม่ ได้รับค่าจ้าง หรือเป็นการว่างงานแฝง โดยประมาณการว่าหากค่าจ้างที่แท้จริงเพิ่มขึ้น 40% สัดส่วนการจ้างงานของแรงงานกลุ่มนี้จะลดลงจาก 81% เหลือ 70% ซึ่งเป็นการลดลงอย่างมากและมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยเกือบครึ่งหนึ่งของจำนวนนี้จะกลายเป็นผู้ว่างงาน และส่วนที่เหลือจะออกไปจากตลาดแรงงาน
"การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำครั้งนี้แม้เป็นไปภายใต้นโยบายประชานิยมของ รัฐบาล ตามที่หาเสียงไว้ และก็ดูเป็นธรรมกับลูกจ้างระดับหนึ่ง แต่การขึ้นค่าจ้างมากๆ แบบฉับพลัน มีโอกาสเกิดผลเสีย โดยเฉพาะผู้ประกอบการหรือภาคธุรกิจที่ไม่แข็งแรงพอ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเอสเอ็มอี จึงควรมีมาตรการรองรับเพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการปรับตัว เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และสามารถเป็นแหล่งรองรับแรงงานในกลุ่มเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบไม่ต้องถูก เลิกจ้าง หรือถูกผลักไปสู่สภาพการทำงานที่แย่ลง หากไม่เตรียมการรองรับที่ดีผลกระทบที่เกิดขึ้นจะทำให้แรงงานระดับล่างอายุ น้อยทักษะต่ำกลับไปอยู่นอกระบบเป็นจำนวนมาก เพิ่มสัดส่วนแรงงานที่ได้ค่าจ้างต่ำกว่าขั้นต่ำและกฎหมายคุ้มครองไปไม่ถึง อย่างน่าเสียดาย"
ที่มา : ไทยรัฐออนไลน์
นางงาม"แปลงเพศ"แคนาดาเฮ กองฯมิสยูนิเวิร์ส"ไฟเขียว"แล้ว เล็ง"เลิกถาวรกฎห้ามผู้ชาย"
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 4 เม.ย.55ว่า โดนัลด์ ทรัมพ์ มหาเศรษฐีและผู้จัดการประกวดมิสยูนิเวิร์ส หรือนางงามจักรวาลเปิดเผยว่า กองประกวดมิสยูนิเวิร์สจะอนุญาตให้ "เจนน่า ทาแลคโคว่า" นางงามแปลงเพศสามารถเข้าร่วมการประกวดเวทีมิสยูนิเวิร์ส ประจำปี 2012 ได้ หากเธอชนะการประกวดเวทีมิสยูนิเวิร์สของแคนาดา ที่เธอเข้ารอบสุดท้าย ซึ่งก่อนหน้านี้ ทนายความของนางงามแปลงเพศ ได้เปิดแถลงข่าวเรียกร้องให้เวทีมิสยูนิเวิร์สยกเลิกกฎห้ามบุคคลที่ไม่ใช่ ผู้หญิงประกวดเวทีมิสยูนิเวิร์ส โดยกองประกวดมิสยูนิเวิร์สประกาศว่า กองประกวดได้ตัดสินอย่างเหมาะสมและให้ความธรรมแก่เจนน่าแล้ว พร้อมทั้งเล็งที่จะยกเลิกกฎห้ามบุคคลไม่ใช่ผู้หญิงเข้าร่วมการประกวดเวทีนี้ อย่างถาวรด้วย
ก่อนหน้านี้ เจนน่า สามารถเข้ารอบสุดท้ายของเวทีมิสยูเวิร์สแคนาดาในนามมิสแวนคูเวอร์ ก่อนจะถูกตัดสิทธิ โดยกองประกวดระบุว่าเธอไม่ได้เกิดมาเป็นหญิงแท้ แต่หลังจากนั้น กองประกวดแคนาดาต้องเผชิญกับกระแสไม่พอใจอย่างหนักโดยมีการเรียกร้องให้กอง ประกวดคืนสิทธิให้แก่เจนน่า โดยบางรายระบุว่า กฎดังกล่าวถือเป็นการกีดกันทางเพศ
ที่มา : มติชนออนไลน์