รอบอาทิตย์สุดท้าย พ.ค.56 : ศาลสั่ง"ฟาบิโอ" ตายเพราะกระสุนจากฝั่งทหาร

รอบอาทิตย์สุดท้าย พ.ค.56 : ศาลสั่ง"ฟาบิโอ" ตายเพราะกระสุนจากฝั่งทหาร

เมื่อ 3 มิ.ย. 2556
นัดพิพากษาคดีคนงานไทรอัมพ์ ‘ก่อการวุ่นวายในบ้านเมือง’ 11 ก.ค.นี้
 
29 - 30 พ.ค.56 ที่ห้องพิจารณาคดี 707 ศาลอาญา รัชดา มีการสืบพยานจำเลย ในคดีที่พนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง น.ส.บุญรอด สายวงศ์ นายสุนทร บุญยอด และ น.ส.จิตรา คชเดช ในความผิดฐานมั่วสุมกันก่อการวุ่นวายในบ้านเมือง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 215 และ 216 ว่าด้วยการชุมนุมมั่วสุมตั้งแต่สิบคนขึ้นไป จากกรณีการชุมนุมของคนงานสหภาพแรงงานไทรอัมพ์ฯ สหภาพแรงงานอิเล็กทรอนิกส์และแม็คคานิคส์ ในเครือ และคนงานเวิลด์เวลล์การ์เม้น เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2552
 
โดยหลังพยานจำเลยเปิกความครบทุกปากแล้วศาลนัดฟังคำพิพากษา 9.00 น. วันที่ 11 ก.ค.56 ที่ห้องพิจารณา 707 ศาลอาญารัชดา ทั้งนี้ศาลได้ขอตัดพยานจำเลยออกหลายปาก เช่น ผศ.ดร.จันทจิรา เอี่ยมมยุรา อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายเกี่ยวกับการชุมนุมที่สาธารณะ นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เป็นต้น โดยศาลให้เหตุผลว่าต้องการเพียงข้อเท็จจริงในการพิจารณาเป็นหลักไม่ใช่ความเห็น ส่วนข้อกฎหมายนั้นศาลทราบอยู่แล้ว
 
ที่มาข่าว ประชาไท

 

เฟซบุ๊กแถลงการณ์คุมเข้ม hate speech มากขึ้น หลังกลุ่มรณรงค์กดดันถอนโฆษณา
 
หลังจากที่มีกลุ่มรณรงค์ด้านสตรีไม่พอใจที่เห็นภาพที่ส่อถึงการสนับสนุนให้ทำร้ายผู้หญิงปรากฏบนเฟซบุ๊ก จึงทำการส่งข้อความทวิตเตอร์หรืออีเมลแจ้งบริษัทที่ลงโฆษณาในเฟซบุ๊กจนกระทั่งมีการปลดโฆษณาประท้วง ทำให้เฟซบุ๊กออกแถลงการณ์ยอมพิจารณาปรับปรุงระบบตรวจสอบและกำจัดข้อความจำพวก hate speech
 
สำนักข่าวเดอะการ์เดียนของอังกฤษรายงานเมื่อวันที่ 29 พ.ค. ที่ผ่านมาว่า เว็บไซต์โซเชียลเน็ตเวิร์กเฟซบุ๊กได้สนองตอบการร้องเรียนเรื่องที่มีเนื้อหาสนับสนุนการใช้ความรุนแรงต่อสตรีปรากฏในเว็บไซต์หลังจากที่มีการประท้วงด้วยการยกเลิกการลงโฆษณา
 
เว็บไซต์เฟซบุ๊กได้ออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 28 พ.ค. ว่าจะปรับปรุงนโยบายในเรื่องการใช้ hate speech ซึ่งก็คือการใช้คำพูดสร้างความเกลียดชังหรือยุยงให้เกิดความรุนแรง โดยจะเพิ่มการตรวจสอบผู้สร้างเนื้อหาอย่างเข้มงวดขึ้น และฝึกฝนให้คณะทำงานของเฟซบุ๊กตอบสนองคำร้องเรียนมากขึ้น
 
ที่มาข่าว ประชาไท

 

ประนามตำรวจกัมพูชากรณีสลายการชุมนุม
 
ตำรวจใช้ปืนพลังน้ำยิงใส่ผู้ชุมนุมที่มาเรียกความยุติธรรมในกรณีการเวนคืนที่ดินเพื่อมอบสัมปทานแก่บริษัทข้ามชาติ เป็นเหตุให้ผู้ชุมนุมสามคนได้รับบาดเจ็บถึงขั้นหมดสติ 
 
เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2556 ผู้ได้รับความเดือดร้อนจากการถูกเวนคืนที่ดินโดยรัฐเพื่อมอบสัมปทานแก่บรรษัทข้ามชาติจัดการประท้วงโดยสันติที่ใจกลางกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา โดยมีข้อเรียกร้องคือให้รัฐเพิ่มเงินชดเชยหรือคืนที่ดินให้แก่ชาวบ้าน ทว่าในเวลาต่อมาตำรวจตัดสินใจใช้ปืนพลังน้ำยิงใส่ผู้ชุมนุมจนเป็นเหตุให้ผู้ชุมนุมสามคนได้รับบาดเจ็บ
 
ชุน โสวัน ผู้บัญชาการตำรวจประจำกรุงพนมเปญให้สัมภาษณ์แก่สำนักข่าวAFPต่อกรณีนี้ว่า พวกเราจำเป็นต้องใช้รถดับเพลิงยิงน้ำใส่ผู้ชุมนุมที่อยู่บนเปิดการจราจร ชุนยังกล่าวเสริมไปอีกว่า เราทราบว่าผู้ประท้วงบางส่วนได้รับบาดเจ็บซึ่งทางเจ้าหน้าที่ได้ประสานให้รถพยาบาลเข้ามาให้การช่วยเหลือ
 
ที่มาข่าว thecambodiaherald
 
 
ยูนิเซฟเรียกร้องสังคมเปิดโอกาสให้เด็กพิการมีส่วนร่วมมากขึ้น
 
องค์การยูนิเซฟออกรายงานสภาวะเด็กโลกประจำปี 2556 ซึ่งปีนี้ว่าด้วยเรื่องเด็กพิการ (The State of the World’s Children – Children with Disabilities) และเรียกร้องให้สังคมยอมรับในความสามารถและศักยภาพของเด็กพิการ และเปิดโอกาสให้เด็กพิการได้มีส่วนร่วมในสังคมมากขึ้น
 
“เมื่อคุณมองที่ความพิการก่อนมองความสามารถของเด็ก นอกจากจะเป็นเรื่องที่ผิดต่อเด็กแล้ว ยังทำให้สังคมเสียโอกาสที่จะได้ประโยชน์จากศักยภาพของเด็กพิการอีกด้วย เมื่อเด็กขาดโอกาสสังคมก็เสียประโยชน์ ฉะนั้นเมื่อเด็กได้รับโอกาส สังคมก็จะได้รับประโยชน์เช่นกัน” นายแอนโทนี่ เลค ผู้อำนวยการบริหารขององค์การยูนิเซฟกล่าว
 
รายงานสภาวะเด็กโลกปี 2556 ระบุว่า เด็กพิการมักเป็นกลุ่มที่ได้รับการดูแลทางสุขภาพหรือไปโรงเรียนน้อยที่สุด และเสี่ยงต่อความรุนแรง การทารุณกรรม การถูกแสวงประโยชน์และถูกทอดทิ้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่เด็กพิการที่เข้าถึงยาก หรือที่ถูกทอดทิ้งให้อยู่ในศูนย์ผู้พิการต่างๆ อันเป็นผลมาจากการถูกตีตราทางสังคม หรือการที่ครอบครัวไม่สามารถแบกรับค่าใช้จ่ายในการดูแลพวกเขาได้ ปัจจัยหลายอย่างนี้ทำให้เด็กพิการกลายเป็นกลุ่มเด็กที่ขาดโอกาสที่สุดในโลกกลุ่มหนึ่ง รายงานยังระบุอีกว่าเด็กพิการเพศหญิงมักได้รับอาหารและการดูแลน้อยกว่าเด็กพิการเพศชาย
 
ที่มาข่าว ประชาไท
 
 
 
"ฟาบิโอ โปเลงกี" ช่างภาพชาวอิตาลี กระสุนจากฝั่งจนท.
 
"ฟาบิโอ โปเลงกี" ช่างภาพชาวอิตาลี ซึ่งถูกยิงเสียชีวิตเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 บริเวณถนนราชดำริ อันเป็นวันที่ทหารภายใต้บัญชาของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ศาลอาญากรุงเทพใต้ นัดสั่งคดี เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม ที่ผ่านมา หลังพิจารณาคดีนี้มาระยะหนึ่ง
 
เมื่อรับฟังประกอบความเห็นของพยาน ผู้เชี่ยวชาญ เชื่อได้ว่าวิถีกระสุนปืนยิงมาจากทางเเยกศาลาแดง ซึ่งเป็นทิศทางที่เจ้าพนักงานกำลังเคลื่อนเข้ามาควบคุมพื้นที่จนถึงแยกราชดำริ อีกทั้งแพทย์ผู้ตรวจศพผู้ตาย และผู้แปลผลการชันสูตรพลิกศพยังเบิกความสอดคล้องต้องกัน โดยสรุปว่าบาดแผลของผู้ตายน่าจะเป็นบาดเเผลที่เกิดจากกระสุนปืนที่ยิงออกมาจากอาวุธปืนที่มีความเร็วสูง
 
เมื่อไม่ปรากฏจากการไต่สวนว่ามีบุคคลอื่นเข้ามาก่อเหตุใดๆ ทั้งกระสุนปืนที่เจ้าพนักงานใช้ประจำกายในการเข้าควบคุมพื้นที่บริเวณที่เกิดเหตุเป็นกระสุนปืนขนาด .223 ที่ใช้กับอาวุธปืนเล็กยาวเอ็ม 16 และอาวุธปืนเล็กยาวแบบ 11 ที่มีประสิทธิภาพในการยิงวิถีไกลและมีความเร็วสูง และได้ความจากนักข่าวต่างประเทศ ว่าในขณะเกิดเหตุพยานได้วิ่งไปทิศทางเดียวกับผู้ตาย และถูกยิงด้วยกระสุนปืนในบริเวณใกล้เคียงกับผู้ตายที่บริเวณด้านหลังข้างขวาและกระสุนปืนฝังใน
 
จึงมีคำสั่งว่าผู้ตายคือ นายฟาบิโอ โปเลงกี ถึงแก่ความตายที่โรงพยาบาลตำรวจ แขวงปทุมวัน เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 19 พ.ค. 2553 เวลา 11.30 น. เหตุและพฤติการณ์แห่งการตายสืบเนื่องมาจากการถูกยิงด้วยกระสุนปืน เป็นเหตุให้เกิดบาดแผลกระสุนปืนทะลุหัวใจ ปอด ตับ เสียโลหิตปริมาณมาก
 
"โดยมีวิถีกระสุนปืนยิงมาจากด้านเจ้าพนักงานที่กำลังเคลื่อนเข้ามาควบคุมพื้นที่จากทางแยกศาลาแดงมุ่งหน้าไปแยกราชดำริ โดยยังไม่ทราบว่าใครเป็นผู้ลงมือกระทำ"
 
ที่มาข่าว แนวหน้า
 
 
กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพเชียงใหม่ค้านนโยบายP4Pให้กำลังใจแพทย์ชนบท
 
31 พ.ค. 56 เวลา 08.00 น. กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ จ.เชียงใหม่ กว่า 100 คน รวมตัวกันแสดงจุดยืนไม่เอาทุกนโยบายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ณ โรงแรมปางสวนแก้ว จ.เชียงใหม่
 
จากกรณีที่ นพ.ประดิษฐ์ สินธวณรงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มีนโยบายการจ่ายค่าตอบแทนตามภาระงานในรูปแบบ P4P: Pay for performance ตั้งแต่ 1 เมษายน 2556 ที่ผ่านมา เป็นผลทำให้แพทย์ชนบททั่วประเทศออกมาคัดค้านไม่เห็นด้วยต่อนโยบายดังกล่าว ซึ่งภายในงานประชุมผู้บริหารพบบุคลากรสาธารณสุข ประจำปีงบประมาณ 2556 จัดขึ้น ณ โรงแรมปางสวนแก้วเชียงใหม่ ได้มีกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ แสดงจุดยืนไม่เอาทุกนโยบายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข แสดงความกังวลถึงการทำงานที่เน้นปริมาณมากกว่าคุณภาพการรักษา ทั้งนี้จะทำให้แพทย์ที่อยู่ในพื้นที่ชนบทเข้าไปทำงานในเมืองมากขึ้น เนื่องจากไม่มีผลตอบแทนที่จูงใจด้วยการจ่ายด้วยระบบเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่าย สำหรับแพทย์ที่ทำงานห่างไกล นอกจากนี้ยังเปิดโอกาสให้บริษัทยาข้ามชาติเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์กับความเจ็บป่วยของประชาชนได้ง่ายขึ้น
 
นางสุรีรัตน์ ตรีมรรคา ผู้ประสานงานกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ จ.เชียงใหม่ กล่าวว่า "กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ ได้รวมตัวกันเพื่อให้กำลังใจแพทย์ในชนบท ซึ่งเขาคัดค้านระบบ P4P มาแทนเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่าย ซึ่งวันนี้ทางกระทรวงสาธารณสุขได้จัดเวทีชี้แจง แต่ชมรมแพทย์ชนบทยืนยันคัดค้าน สิ่งที่มีการรวมตัวคัดค้านเนื่องจากนโยบายมีความบิดเบี้ยว การที่มีแพทย์ชนบท และมีระบบเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายจะทำให้แพทย์อยู่ในชนบทได้มีรายได้สูงพอเท่าเทียมกับแพทย์ที่อยู่โรงพยาบาลเอกชน แต่เมื่อมีการลดเบี้ยเหมาจ่ายรายเดือนลงนั้น แล้วให้ทำงานในระบบบันทึกลงคะแนน หรือล่าแต้ม แพทย์คงไม่อยากทำ และอาจเกิดภาวะที่แพทย์ชนบทไหลเข้าสู่โรงพยาบาลในเมืองหรือเอกชน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อประชาชนในท้องถิ่น ชนบทที่อยู่ห่างไกลไม่มีหมอรักษา
 
ที่มาข่าว ประชาธรรม
 
 
ขปส.แถลงผลความคืบหน้าการประชุมคณะกรรมการแก้ไขปัญหา
 
28 พฤษภาคม 2556 เมื่อเวลา 13.30น. ในการประชุมคณะกรรมการแก้ไขปัญหาของขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (ขปส.)ซึ่งมีร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง (รองนายกรัฐมนตรี) นั่งเป็นประธาน มีผลสรุปโดยภาพรวมดังนี้
 
1) ประเด็นขปส.ที่เสนอให้ครม.พิจารณาเห็นชอบ
1.1) ประเด็นที่ครม.เห็นชอบแล้วเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 56 เรื่องโครงการนำร่องธนาคารที่ดิน ที่ประชุมเห็นชอบแผนงานตามที่สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.) เสนอ โดยให้มีการปรับปรุงรายละเอียดให้เป็นปัจจุบัน
1.2) ประเด็นที่เสนอเข้าสู่การพิจารณาในที่ประชุมครม.ในวันที่ 28 พฤษภาคม 56 ที่ประชุมแจ้งว่าทั้งสองเรื่องของขปส.ได้รับการเห็นชอบจากที่ประชุมครม.แล้วได้แก่
- การคุ้มครองพื้นที่โฉนดชุมชน ที่คณะกรรมการประสานงานเพื่อจัดให้มีโฉนดชุมชนพิจารณาอนุมัติแล้ว จำนวน 58 ชุมชน
- การแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อบูรณาการการแก้ไขปัญหาเขื่อนปากมูล โดยยกเลิกมติครม.ที่เกี่ยวข้องที่ผ่านมา
 
2) ประเด็นการพิจารณาตามกลไกการแก้ไขปัญหาของคณะอนุกรรมการ จำนวน 9 ชุด และคณะกรรมการฯชาวเล ผลโดยภาพรวมปรากฏว่ามีความคืบหน้าไปด้วยดี ที่ประชุมใหญ่เห็นชอบแนวทางส่วนใหญ่ในการดำเนินการแก้ไขปัญหาของคณะอนุกรรมการแต่ละชุด ส่วนประเด็นที่ไม่สามารถหาข้อสรุปในที่ประชุมอนุกรรมการได้ก็มีการนำเสนอให้ที่ประชุมคณะกรรมการแก้ไขปัญหาของขปส.พิจารณาเห็นชอบ โดยคณะอนุกรรมการที่ก้าวหน้ามากที่สุดคือ คณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาที่ดินที่อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงทรัพยากรฯ ที่มีการแต่งตั้งคณะทำงานแก้ไขปัญหาทั้งระดับพื้นที่และระดับนโยบาย และมีหลายประเด็นที่ที่ประชุมใหญ่เห็นชอบให้ดำเนินการ เช่น ให้กระทรวงทรัพยากรฯ นำเรื่องการแก้ไขกฎหมายป่าไม้ 5 ฉบับ ซึ่่งเป็นนโยบายที่รัฐบาลได้แถลงต่อรัฐสภาบรรจุเป็นแผนปฏิบัติการของกระทรวงฯปี2557 และคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาที่สาธารณประโยชน์ และที่ดินเอกชนปล่อยทิ้งร้าง ซึ่งมีแผนงานจะมีการปรับปรุงกฎ ระเบียบ ต่างๆของกระทรวงมหาดไทยให้รองรับแนวทางโฉนดชุมชน รวมทั้งจะมีการแจ้งไปยังจังหวัดต่างๆให้เร่งรัดแก้ไขปัญหาของขปส. ฯลฯ
 
ที่มาข่าว ประชาธรรม