[For English please scroll down]
"บรรยากาศแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง" คือ คำพูดแรกของ "ชูชาติ กันภัย" ทนายความของ อาเดม คาราดัก ผู้ต้องหาคดีเหตุระเบิดราชประสงค์ เมื่อเปรียบระหว่างเรือนจำชั่วคราวแขวงถนนนครไชยศรี ที่ตั้งอยู่ภายในมทบ. 11 กับเรือนจำอื่นๆ หลังเขาเคยเข้าไปพบผู้ต้องหาเพื่อให้คำปรึกษาทางกฎหมายที่เรือนจำชั่วคราวแห่งนี้ตลอดช่วงสองเดือนที่ผ่านมา
ทนายชูชาติเล่าว่า ได้เข้าไปเยี่ยมอาเดม คาราดัก ผู้ต้องหาชาวตุรกีครั้งแรกเมื่อวันที่ 15 กันยายน 2558 ขณะนั้นผู้ต้องหาถูกนำตัวไปขังที่เรือนจำชั่วคราว ภายในมทบ.11 แล้ว พื้นที่ที่ทนายความมีโอกาสเข้าไปนั่งคุยกับผู้ต้องหาเป็นพื้นที่ส่วนตึกบัญชาการ ไม่ใช่ส่วนที่ใช้คุมขังผู้ต้องหา เพราะพื้นที่คุมขังนั้นไม่อนุญาตให้ผู้อื่นเข้า
เมื่อได้เข้าไป ก็ได้ทราบว่าผู้ที่ถูกคุมขังที่เรือนจำแห่งนี้ มีแค่ผู้ต้องหาคดีระเบิดเหตุราชประสงค์เพียง 2 คน คือ อาเดม คาราดัก และ เมียไรลี ยูซูฟู ซึ่งเจ้าหน้าที่ขังแยกกัน โดยระหว่างติดต่อขอพบผู้ต้องหา เจ้าหน้าที่จะพาตัวผู้ต้องหาเดินมาจากข้างหลังตึก คะเนด้วยสายตาและระยะทางที่พาตัวผู้ต้องหามา คือ ประมาณ 500 เมตร ทุกครั้งที่พาตัวผู้ต้องหามา ผู้ต้องหาจะถูกปิดตา
เท่าที่สังเกต ทนายชูชาติพบว่า เจ้าหน้าที่ที่ทำหน้าที่ควบคุมผู้ต้องหา คือ เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ที่ถูกส่งตัวมาประจำที่เรือนจำนี้ โดยมีทหารพร้อมอาวุธครบมือ 4-5 นาย และคอยควบคุมตัวจำเลยในสภาพปิดตาและใส่กุญแจมือและกุญแจเท้า ระหว่างการพูดคุยกับทนายความก็มีเจ้าหน้าที่ทหารประกบอยู่ตลอดเวลา และคอยจดบันทึกข้อความที่ทนายคุยกับผู้ต้องหา รวมถึงบันทึกเสียงการสนทนาไว้ แต่ทนายชูชาติก็ไม่ได้ติดใจอะไร เพราะเข้าใจว่าเป็นกฎระเบียบของทางเรือนจำ
สัปดาห์ต่อมา ทนายชูชาติไปเข้าเยี่ยมผู้ต้องหาอีกครั้ง แต่คราวนี้เข้าเยี่ยมไม่ได้ โดยเจ้าหน้าที่แจ้งว่าผู้ต้องหาป่วย และทนายความต้องมีใบแต่งตั้งทนายจากศาลทหาร เขาจึงไปทำเรื่องขอใบแต่งตั้งทนายใหม่ที่ศาลทหาร แต่ใบแต่งตั้งทนายความก็ต้องให้ผู้ต้องหาลงชื่อด้วยซึ่งก็ยังให้ผู้ต้องหาลงชื่อในวันนั้นไม่ได้