หลังจากข้อขัดข้องอันยืดเยื้อเพื่อระดมเงินทุนจัดซื้อลิขสิทธิ์ถ่ายทอดดสดฟุตบอลโลก 2022 ในวันใกล้สุดท้ายเพื่อไม่ให้อับอายขายขี้หน้าของ “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” ประธานคณะกรรมการ กกท. จากที่เคยลั่นวาจาไว้ว่าเป็นหน้าที่ของตนที่จะทำให้คนไทยได้ดูฟุตบอลโลก ในที่สุดคนไทยก็ได้ดูจริงๆ พร้อมรับลูกเทคเครดิตให้ตัวเองแบบเต็มที่ เห็นได้จากคำพูดของผู้บรรยายที่มักพูดหลังจบเกมอย่างสม่ำเสมอว่า “ขอขอบคุณ พล.อ.ประวิตร” แม้เงินทุนส่วนหนึ่งที่ใช้ในการจัดซื้อลิขสิทธิ์ฟุตบอลโลกจะมาจากกองทุน กทปส. ซึ่งเป็นเงินที่จัดเก็บมาจากภาษีของประชาชนและรายได้ของรัฐก็ตาม
แต่แล้ว การถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกภายใต้คำสรรเสริญ พล.อ.ประวิตร กลับต้องสะดุดลง เมื่อผู้ใช้งาน IPTV (Internet Protocol Television หรือแปลเป็นไทยง่ายๆ ว่ากล่องโทรทัศน์ที่รับชมผ่านทางอินเทอร์เน็ต) ที่ไม่ใช่กล่องของ "ทรูวิชชั่น” ประสบกับปัญหา "จอดำ" ไม่สามารถรับชมได้ ซึ่งดูเหมือนจะขัดกับข้อกำหนดตาม “ประกาศ Must Carry” ของ กสทช. ที่บังคับให้ผู้ประกอบการกิจการโทรทัศน์แบบบอกรับสมาชิก (รวมถึงกล่องอินเทอร์เน็ต) ต้องนำช่องฟรีทีวีไปฉายอย่างต่อเนื่อง ตลอดเวลา และไม่มีการดัดแปลง
เรื่องยิ่งอีรุงตุงนังมากขึ้น เมื่อผู้ให้บริการกล่อง IPTV อาทิ AIS และ 3BB รวมตัวกันร้องเรียนต่อ กสทช. ว่า การปิดกั้นของทรูวิชชั่นไม่ใช่สิ่งที่สามารถกระทำได้ตามประกาศ Must Carry และขอให้ กสทช. มีคำสั่งให้ทรูเปิดช่องสัญญาณให้มีการถ่ายทอดสดตามประกาศข้อบังคับ ร้อนถึงทรูวิชชั่นที่จะไม่ยอมเสียเปรียบจากการช่วยลงขันไปกว่า 300 ล้านบาท จึงได้ฟ้องร้องต่อศาลให้มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวไม่ให้ผู้ให้บริการ IPTV อื่นถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกโดยไม่ได้รับอนุญาตจาก “ทรูวิชชั่น” ผู้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์
ไม่ว่าเหตุการณ์ข้างต้นจะจบลงอย่างไร คนที่ลอยลำมากที่สุดในสถานการณ์นี้คงไม่พ้น “พล.อ.ประวิตร” ที่เป็นผู้นั่งหัวโต๊ะรับผิดชอบเรื่องนี้เต็มๆ แต่กลายเป็นผู้โยนบท "ตัวร้าย" ในเรื่องนี้ไปให้กับทรูวิชชั่นที่เข้ามาจ่ายเงินในจังหวะสุดท้ายไปแบบแนบเนียน ท่ามกลางสงครามทางกฎหมายของภาคธุรกิจ และคำถามว่าคอบอลชาวไทยตาดำๆ จะได้ดูฟุตบอลโลกที่กำลังจะเลื่อนผ่านเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้ายผ่านกล่อง IPTV อื่นที่ไม่ใช่ทรูวิชชั่นไหม ไอลอว์ชวนทบทวนลำดับเหตุการณ์และรายละเอียดข้อกฎหมายว่า ทำไมคนไทยถึงได้มายืนอยู่จุดนี้ได้

(1) 17 พ.ย. 65 ก่อนบอลโลกเริ่มคิกออฟ 3 วัน ดร.ก้องศักดิ์ ยอดมณี ผู้ว่าฯ กกท. เปิดเผยว่า กกท. ได้บรรลุข้อตกลงการซื้อลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก 2022 กับ สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) จำนวน 64 แมตช์ เรียบร้อยแล้วในมูลค่าประมาณ 1,400 ล้านบาท โดยต้องขอขอบคุณ “พล.อ.ประวิตร” รองนายกรัฐมนตรีที่เป็นตัวกลางประสานงานภาคเอกชนจนสำเร็จขั้นตอนการระดมเงินทุน
สำหรับภาคเอกชนที่ร่วมสนับสนุน “พล.อ.ประวิตร” ด้วยการลงขันรวมเป็นเงินกว่า 700 ล้านบาทเพื่อซื้อลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกครั้งนี้ ประกอบไปด้วย ทรู คอร์ปอเรชั่น 300 ล้านบาท, น้ำแร่ธรรมชาติตราช้าง 100 ล้านบาท, ปตท. 100 ล้านบาท, ปตท. โออาร์ 20 ล้านบาท, ไทยออยล์ 20 ล้านบาท, โกลบอล พาวเวอร์ ซินเนอร์ยี่ 10 ล้านบาท, พลังงานบริสุทธิ์ 50 ล้านบาท, ธนาคารกสิกรไทย 50 ล้านบาท และบางจาก คอร์ปอเรชั่น 50 ล้านบาท
มีข้อสังเกตว่าบางส่วนของกลุ่