การส่งเสริมคุณภาพชีวิตแรงงานให้กินดีอยู่ดี มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี นอกจากการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำให้เหมาะสมแล้วนั้น สิ่งสำคัญที่ต้องมาควบคู่กันคือการยกระดับ “สิทธิแรงงาน” โดยคำนึงถึงคุณค่าความเป็นมนุษย์รวมถึงมิติทางสังคมที่หลากหลายอย่างเป็นธรรม
พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 (พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน) กฎหมายเพื่อคุ้มครองคนทำงานฉบับสำคัญที่สุด เพราะครอบคลุมตั้งแต่มาตรฐานขั้นต่ำในการใช้แรงงาน การจ่ายค่าตอบแทน ไปจนถึงสวัสดิการต่างๆ เพื่อสร้างความเป็นธรรมระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง โดยกฎหมายฉบับนี้ปรับปรุงแก้ไขบางมาตราจนถึงปัจจุบัน
เจ็ดครั้ง เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพการณ์สังคมที่เปลี่ยนไปในแต่ละยุคสมัย
นอกจากนี้ ในสภาผู้แทนราษฎรชุดที่มาจากการเลือกตั้งในปี 2562 (ชุดที่ 25) ยังปรากฎความพยายามของพรรคการเมืองที่เคยเสนอแก้ไขเพิ่มเติมพ.ร.บ.คุ้มครองแรงงานในหลายประเด็น แม้จะสำเร็จเพียงแค่ฉบับเดียวคือ
พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2566 ที่สาระสำคัญคือ
ประเด็นของการทำงานที่บ้าน (Work From Home) เสนอโดยพรรคภูมิใจไทย แต่อีกสองฉบับเสนอโดยพรรคก้าวไกล (รวมถึงก่อนพรรคอนาคตใหม่ยุบพรรค) กลับถูก
ปัดตกโดย พล.อ.ประยุทธ์ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น
อย่างไรก็ตาม ในสภาชุดปัจจุบันที่มาจากการเลือกตั้งในปี 2566 (ชุดที่ 26) พรรคก้าวไกลยังคงผลักดันการปรับปรุงกฎหมายฉบับดังกล่าวต่อ โดยเสนอร่างแก้ไขพ.ร.บ.คุ้มครองแรงงานสองฉบับ ซึ่งกำลังอยู่ในขั้นตอนเปิดรับฟังความคิดเห็น ได้แก่
ขั้นตอนกระบวนการรับฟังความคิดเห็นต่อร่างกฎหมายดังกล่าวเป็นหนึ่งในช่องทางที่ให้ประชาชนช่วยตรวจสอบแบ่งปันความคิดเห็นเพื่อร่วมยืนยันความต้องการที่จะพัฒนาคุณภาพชีวิตของ “คนทำงาน” อย่างแท้จริง ชวนอ่านเนื้อหาของร่างแก้ไขเพิ่มเติมพ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน ว่าจะคุ้มครองเหล่าคนทำงานมากขึ้นอย่างไร
คุ้มครองครอบคลุมเจ้าหน้าที่รัฐ ขยาย “สิทธิลาคลอดถึง 180 วัน”
ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... เสนอโดย วรรณวิภา ไม้สน สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล และคณะ แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน มาตรา 4 และ 41 มีสาระสำคัญเดียวกันกับร่างกฎหมายที่เคยเสนอในครั้งที่แล้ว (มาตรา 41 ถูก
เสนอแก้ไขโดยสส.พรรคอนาคตใหม่ (ก่อนยุบพรรค) ส่วน
มาตรา 4 เสนอโดยสส.พรรคก้าวไกล) และในครั้งนี้ก็ถูกประธานสภาาตีความว่าเป็นร่างการเงินเช่นเดียวกัน ซึ่งร่างกฎหมายที่เกี่ยวด้วยการเงิน จะต้องส่งให้นายกรัฐมนตรีให้คำรับรองก่อน จึงจะเสนอเข้าสภาได้ แต่หากนายกฯ ไม่ให้คำรับรอง ก็จะตกไป
สาระสำคัญของการแก้ไข มีดังนี้
แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 4 ขยายขอบเขตการใช้บังคับของพ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน
ร่างพ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน กำหนดแก้ไข มาตรา 4 “ข้อยกเว้นของขอบเขตการใช้บังคับ” จากเดิมในพ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน จะใช้บังคับแก่นายจ้างลูกจ้างทุกรายไม่ว่าจะประกอบกิจการอะไรก็ตาม แต่ยกเว้นไม่ให้ใช้บังคับแก่กิจการหรือหน่วยงานที่มีกฎหมายคุ้มครองโดยเฉพาะ ดังต่อไปนี้
- ราชการส่วนกลาง (กระทรวง และกรมหรือเทียบเท่า) ราชการส่วนภูมิภาค (จังหวัด อำเภอ) และราชการส่วนท้องถิ่น (เทศบาล องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) กรุงเทพมหานคร ฯลฯ)
- รัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์
- กิจการหรือองค์การที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายเฉพาะที่มีพ.ร.บ.จัดตั้งกิจการหรือองค์การดังกล่าวได้กำหนดข้อยกเว้นไว้ว่าไม่อยู่ในบังคับของกฎหมายคุ้มครองแรงงานทั้งฉบับหรือเฉพาะรายมาตรา เช่น พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2539 มาตรา 29 , พ.ร.บ.สถาบันพระปกเกล้า พ.ศ.2541 มาตรา 5 เป็นต้น
ในร่างพ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน กำหนดแก้ไขให้กิจการหรือหน่วยงานต่าง ๆ ข้างต้นที่ได้รับการยกเว้นไม่ให้อยู่ในบังคับของพ.ร.บ.คุ้มครองแรงงานอยู่ในความคุ้มครองของกฎหมายด้วย ได้แก่
- ราชการส่วนกลาง (กระทรวง และกรม/เทียบเท่า) ราชการส่วนภูมิภาค (จังหวัด อำเภอ) และราชการส่วนท้องถิ่น (เทศบาล อบต. อบจ. กรุงเทพมหานคร ฯลฯ)
- รัฐวิสาหกิจ
- หน่วยงานของรัฐ ที่ตั้งขึ้นโดยพระราชบัญญัติหรือพระราชกฤษฎีกา
อีกทั้งยังระบุข้อยกเว้นเพิ่มเติมว่า หากหน่วยงานสามหน่วยข้างต้นมีกฎหมายเฉพาะอยู่แล้วสามารถใช้กฎหมายนั้นได้ แต่ “สิทธิประโยชน์” และ “มาตรฐานในการคุ้มครองแรงงาน” ที่ใช้บังคับจะต้องไม่ต่ำกว่าพ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน หากกฎหมายของหน่วยงานนั้นกำหนดมาตรฐานต่ำกว่าพ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน หน่วยงานนั้นต้องตกอยู่ภายใต้พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงานฉบับนี้
นอกจากนี้ ยังกำหนดให้การออกกฎหมายลำดับรองต้องไม่ต่ำกว่าที่กำหนดไว้ในพ.ร.บ.ฉบับนี้และคำนึงถึงสิทธิประโยชน์ของ ผู้ปฏิบัติงาน แรงงาน ข้าราชการ พนักงานราชการ และลูกจ้าง
ขยาย “สิทธิลาคลอด” เป็น 180 วัน พ่อแม่แบ่งวันลาได้ตามสะดวก
พรรคก้าวไกลสานต่อหนึ่งใน
นโยบายสวัสดิการ โดยเสนอให้แก้ในประเด็นเรื่อง “สิทธิลาคลอด” จากเดิมที่พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงานปัจจุบัน มาตรา 41 กำหนดให้ลูกจ้างหญิงมีสิทธิลาเพื่อคลอดบุตร ครรภ์หนึ่งลาได้ไม่เกิน 98 วัน
ร่างพ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน จึงแก้ไขมาตรา 41 ให้ลูกจ้างหญิงลาเพื่อคลอดหรือเลี้ยงดูบุตร ครรภ์หนึ่งรวมเป็น 180 วัน ซึ่งสอดคล้องกับหลักสากลขององค์การอนามัยโลกและกองทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ ที่กำหนดให้บุตรควรได้รับนมแม่อย่างเดียวในช่วงหกเดือนแรกหลังคลอด อีกทั้ง ยังระบุให้ได้รับค่าจ้างไม่น้อยกว่า 90 วัน และรับค่าจ้างพร้อมสิทธิประโยชน์อื่นใดจากสำนักงานประกันสังคมเพิ่มเติมอีก 90 วัน
นอกจากนี้ ยังกำหนดให้ มารดา (ลูกจ้างหญิง) สามารถมอบสิทธิลาดังกล่าวให้บิดาของบุตรได้ไม่เกิน 90 วัน หากไม่มีบิดาหรือมารดา ให้ผู้ปกครองตามกฎหมายได้รับสิทธิข้างต้น
อย่างไรก็ตาม การแก้ไขมาตรา 41 ตามร่างพ.ร.บ.คุ้มครองแรงงานฉบับก้าวไกล ยังคงเนื้อความเดิมในส่วนของรายละเอียดอื่นไว้ กล่าวคือ วันลาเพื่อคลอดบุตรให้หมายความรวมถึงวันลาเพื่อตรวจครรภ์ก่อนคลอดบุตร รวมถึงให้วันลานับรวมวันหยุดที่มีในระหว่างวันลาด้วย
โดยสรุป ร่างพ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน ฉบับแรก ที่เสนอโดย วรรณวิภา ไม้สน สส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล ใจความหลักคือ การแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 4 นั้นจะช่วยคุ้มครองคนทำงานในหน่วยงานภาครัฐให้เป็นไปตามมาตรฐานของกฎหมายคุ้มครองแรงงาน ในขณะที่การแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 41 จะช่วยยกระดับสิทธิลาคลอดโดยขยายขอบเขตให้กว้างมากยิ่งขึ้นทั้งในเรื่องของระยะเวลาไปจนถึงการยกระดับสิทธิโดยคำนึงถึงมิติที่หลากหลายทั้งเรื่องเพศและความเท่าเทียม ไม่มองว่าลูกจ้างหญิงเท่านั้นที่สมควรต้องเป็นผู้ดูแลบุตรฝ่ายเดียว แต่ลูกจ้างชายในฐานะบิดาก็ควรมีสิทธิลาเพื่อช่วยบรรเทาหน้าที่ภรรยาได้เช่นเดียวกัน
เพิ่มระดับความคุ้มครองสิทธิ-สวัสดิการแรงงาน
ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... เสนอโดย เซีย จำปาทอง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกลและคณะ สาระสำคัญของการแก้ไขเพิ่มเติมมีเรื่องการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำให้เหมาะสมต่อค่าครองชีพและเพียงพอต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิต ไปจนถึงเรื่องยกระดับคุณภาพชีวิต เพิ่มอำนาจต่อรองและเพิ่มเวลาสำหรับคนทำงานให้สอดคล้องกับโลกปัจจุบัน
แก้ไขเพิ่มเติมนิยาม คำว่า นายจ้าง ลูกจ้าง และ วันลา รวมถึงเพิ่มนิยาม การจ้างรายเดือน
ขอบเขตนิยามในมาตรา 5 ซึ่งแต่เดิมบทนิยามประเภทนายจ้าง ลูกจ้าง รวมถึงความหมายของวันลามีเพียงสั้นๆ ร่างพ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน จึงแก้ไขเพิ่มเติมขยายความให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น โดยสรุปดังนี้
“นายจ้าง” ให้หมายความรวมถึง นายจ้างตามสัญญาจ้างแรงงานหรือตามกฎหมายเกี่ยวด้วย
แรงงาน หรือตามสัญญาจ้างทำของหรือสัญญาอื่นใด รวมถึงให้ผู้ประกอบการหรือภาครัฐที่มีการรับเหมาค่าแรงอยู่ในนิยามของนายจ้างมีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายฉบับนี้ด้วย
“ลูกจ้าง” ให้หมายความรวมถึง
- ผู้รับจ้างตามสัญญาจ้างแรงงานหรือตามกฎหมายเกี่ยวด้วยแรงงาน
- ผู้รับจ้างตามสัญญาจ้างทำของ
- ผู้ซึ่งตกลงทำงานให้แก่นายจ้างเพื่อรับค่าจ้างหรือค่าตอบแทนซึ่งอยู่ภายใต้สัญญาใด ๆ ทั้งปรากฎเป็นลายลักษณ์อักษร หรือไม่ปรากฏเป็นลายลักษณ์อักษร
- “วันลา” เพิ่มรายละเอียด ให้ “ลาเพื่อการอื่นใดที่ปรากฏในพระราชบัญญัติฉบับนี้”
- เพิ่มบทนิยามใหม่ “การจ้างงานรายเดือน” เป็นการจ้างงานที่มีลักษณะเป็นงานประจำและเต็มเวลา โดยลูกจ้างได้รับค่าจ้างเป็นรายเดือน อันรวมถึงค่าจ้างในวันหยุดประจำสัปดาห์ วันหยุดตามประเพณี วันหยุดพักผ่อนประจำปีและวันลาป่วยตามที่กฎหมายกำหนด
การจ้างงานมีความเท่าเทียมในทุกด้าน ไม่เลือกปฏิบัติในทุกสถานการณ์
จากเดิมใน พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน มาตรา 15 กำหนดเรื่องความเท่าเทียมระหว่างชายและหญิงในการพิจารณาจ้างงานเท่านั้น แต่ร่างพ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน ที่เสนอโดยสส.พรรคก้าวไกล กำหนดเพิ่มรายละเอียดขยายขอบเขตให้กว้างมากขึ้นไปอีกคือ ให้นายจ้างปฏิบัติต่อลูกจ้างอย่างเท่าเทียมกันโดยไม่เลือกปฏิบัติ ไม่กีดกัน แบ่งแยก จำกัดสิทธิ หรือทำการอื่นใดให้ผู้อื่นไม่ได้รับสิทธิอันเขาพึงได้ตามกฎหมาย ด้วยเหตุดังต่อไปนี้
- ความแตกต่างทางถิ่นกำเนิด เชื้อชาติ ภาษา เพศ อายุ
- ความพิการ สภาพทางกายหรือสุขภาพ
- สถานะของบุคคล
- ฐานะทางเศรษฐกิจหรือสังคม
- ความเชื่อทางศาสนา
- การศึกษาอบรม
- ความคิดเห็นทางการเมือง
รวมถึงให้นายจ้างไม่มีสิทธิเลือกปฏิบัติโดยยกเหตุข้างต้นต่อสถานการณ์อื่นๆ เช่น การเพิ่มค่าจ้าง การเลื่อนตำแหน่ง การให้สวัสดิการ
เวลาทำงานเหลือ 5 วัน หรือ 40 ชั่วโมง/สัปดาห์ หากเกินต้องได้ OT
จากเดิมที่ พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน มาตรา 23 กำหนดให้เวลาทำงานรวมแล้วตลอดหนึ่งสัปดาห์ต้องไม่เกิน 48 ชั่วโมง เว้นแต่งานที่เป็นอันตรายสุขภาพรวมแล้วตลอดหนึ่งสัปดาห์ต้องไม่เกิน 42 ชั่วโมง ร่างพ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน จึงแก้ไขเพิ่มเติม ลดระยะเวลาทำงานลง ดังนี้
เวลาทำงานของลูกจ้าง เมื่อรวมเวลาทำงานทั้งสิ้นแล้วสัปดาห์หนึ่งต้องไม่เกิน 40 ชั่วโมง
งานที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพและความปลอดภัยของลูกจ้างตามที่กำหนดในกฎกระทรวง เมื่อรวมเวลาทำงานทั้งสิ้นแล้วสัปดาห์หนึ่งต้องไม่เกิน 35 ชั่วโมง
อีกทั้ง ยังเพิ่มเติมประเด็นใหม่ประกอบเข้าไปสำหรับสถานประกอบการที่มีการจ้างงาน รายวันและรายเดือน นายจ้างจะต้องจ้างเป็นรายเดือนทั้งหมดโดยไม่เลือกปฏิบัติ ได้แก่ งานในภาคเกษตร งานก่อสร้าง งานที่ไม่มีความต่อเนื่อง ให้ใช้ระบบสัญญาจ้างแบบกำหนดระยะเวลา โดยนายจ้างต้องรับรองรายรับ ไม่ต่ำกว่าค่าจ้างขั้นต่ำและให้ได้รับสวัสดิการเท่ากับพนักงานระบบอื่นของนายจ้าง
เพิ่มขั้นต่ำวันหยุดประจำสัปดาห์ เพิ่มวันหยุดพักผ่อนประจำปีขั้นต่ำ 10 วัน
จากเดิม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน มาตรา 28 กำหนดให้ลูกจ้างมีวันหยุดประจำสัปดาห์สัปดาห์หนึ่งไม่น้อยกว่า “หนึ่งวัน” โดยร่างพ.ร.บ.คุ้มครองแรงงานฉบับก้าวไกล ปรับเพิ่มให้วันหยุดประจำสัปดาห์สัปดาห์หนึ่งไม่น้อยกว่า “สองวัน”
ในมาตรา 30 กำหนดให้ลูกจ้างที่ทำงานมาแล้วติดต่อกันครบหนึ่งปีมีสิทธิลาหยุดพักผ่อนประจำปีได้ไม่น้อยกว่าหกวันต่อปี ร่างพ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน ที่เสนอโดยสส.พรรคก้าวไกล ปรับลดเงื่อนไขระยะเวลาการทำงานของลูกจ้างที่จะใช้สิทธิลาหยุดพักผ่อนประจำปี จากต้องทำงานติดต่อกันครบหนึ่งปีให้เหลือเพียง ทำงานติดต่อกัน 120 วัน ก็มีสิทธิลาหยุดพักผ่อนประจำปีได้ 10 วัน หรือนายจ้างจะเป็นผู้กำหนดมากกว่านี้ก็ได้เช่นกัน
เพิ่มสิทธิลาไปรักษาดูแลคนในครอบครัว/คนสนิท ไม่เกิน 15 วันทำงานต่อปี
ร่างพ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน เพิ่มความในมาตรา 32 ซึ่งกำหนดเรื่องการใช้สิทธิลาป่วยของลูกจ้าง โดยยังคงใจความเดิมในเรื่องเงื่อนไขของการใช้สิทธิลาป่วยไว้แต่เพิ่มสิทธิที่นอกเหนือจากการลาป่วยเพื่อรักษาตัวเองคือ ให้ลาเพื่อไปดูแลบุคคลในครอบครัว หรือบุคคลอื่นใดที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดซึ่งเป็นผู้ป่วยปีละไม่เกิน 15 วัน โดยนายจ้างอาจแจ้งให้ลูกจ้างแนบหลักฐาน เช่น ใบรับรองแพทย์แผนปัจจุบันชั้นหนึ่งประกอบการขอลาได้ด้วย
เพิ่ม “ห้องคุณแม่” ในสถานประกอบการ
สำหรับประเด็นนี้สอดคล้องและส่งเสริม
สิทธิการให้นมแม่ ซึ่งสถานประกอบการต่างๆ ในประเทศไทยยังมีน้อยที่จะให้ความสำคัญในเรื่องนี้ ในขณะที่หลายประเทศยกเรื่องนี้เป็นวาระสำคัญระดับชาติ เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกา การให้นมบุตรถือเป็นสิทธิที่มารดาพึงจะกระทำได้ ทั้งในที่สาธารณะและในที่รโหฐาน
ร่างพ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน ที่สส. ก้าวไกลเสนอ เพิ่มบทบัญญัติใหม่คือ มาตรา 39/2 กำหนดให้นายจ้างต้องจัดให้มีสถานที่ที่เหมาะสมและอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่จำเป็น เพื่อให้ลูกจ้างสามารถให้นมบุตรหรือบีบเก็บน้ำนมในที่ทำงาน ไม่น้อยกว่าสองครั้ง ครั้งละ 30 นาที ในช่วงเวลาแปดชั่วโมงของการทำงาน ตลอดระยะเวลาอย่างน้อย หนึ่งปีหลังคลอด
โดยสรุป ร่างพ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน ฉบับที่เสนอโดย เซีย จำปาทอง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ใจความหลักคือการแก้ไขบางบทบัญญัติให้มีความละเอียดสอดคล้องกับสถานการ์ณปัจจุบันทั้งเรื่องของหลักเกณฑ์การปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำให้เหมาะสมต่อค่าครองชีพและเพียงพอต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิต รวมถึงยกระดับสิทธิต่างๆ โดยคำนึงถึงคุณภาพของคนทำงานให้อยู่บนพื้นฐานแห่งความเท่าเทียมเป็นสำคัญ เช่น การเพิ่มวันหยุด ลดกรอบเวลาการทำงาน เพิ่มสิทธิลาดูแลครอบครัว ไปจนถึงการส่งเสริมประเด็นใหม่ ๆ อย่างการกำหนดให้สถานประกอบการเห็นความสำคัญในการจัดสถานที่ให้นมบุตรสำหรับลูกจ้างหญิง
(อ้างอิง : เกษมสันต์ วิลาวรรณ.(2563),คำอธิบายกฎหมายแรงงาน พิมพ์ครั้งที่ 28)