แม้จะเป็นรัฐบาลรักษาการ แต่รัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ได้สร้างผลงานเกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนเกณฑ์เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ จนนำมาสู่ข้อวิพากษ์วิจารณ์ ว่าเป็นการลดสวัสดิการของประชาชน เปลี่ยนจากระบบสวัสดิการถ้วนหน้าเป็นระบบพิสูจน์ความจน ขณะที่ภาครัฐก็ชี้แจงว่า หลักเกณฑ์ใหม่จะทำให้การแจกเบี้ยผู้สูงอายุทั่วถึงและเป็นธรรมมากขึ้น
แก้เกณฑ์จ่ายเบี้ยผู้สูงอายุใหม่ เพราะขัดรัฐธรรมนูญ
“เมื่อสองปีที่ผ่านองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นก็จ่ายเบี้ยผู้สูงอายุตามปกติ ... แต่ว่ากรมบัญชีกลางมีข้อมูลตรวจสอบได้ว่า คนบางคนมีรายได้อื่น เช่น บำนาญ เขาก็บอกว่าจ่ายซ้ำไม่ได้ให้เรียกคืน ... กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ก็ส่งระเบียบนี้ให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตีความ โดยคณะกรรมการกฤษฎีกาตีความว่า ระเบียบที่ใช้อยู่ไม่สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ เมื่อไม่สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญต้องแก้ระเบียบใหม่”
รัฐธรรมนูญ 40 50 60 พูดถึงสิทธิผู้สูงอายุไม่ต่างกัน
รัฐธรรมนูญไทยในหมวดสิทธิและเสรีภาพของชนชาวไทย ตั้งแต่รัฐธรรมนูญ 2540 2550 และ 2560 กล่าวถึงสิทธิของผู้สูงอายุโดยสาระสำคัญไม่แตกต่างกัน คือ ผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ที่มีรายได้ไม่เพียงพอแก่การยังชีพ มีสิทธิได้รับความช่วยเหลือจากรัฐ
เปรียบเทียบสิทธิผู้สูงอายุในรัฐธรรมนูญ
รัฐธรรมนูญ | บทบัญญัติ |
2540 | มาตรา 54 “บุคคลซึ่งมีอายุเกินหกสิบปีบริบูรณ์และไม่มีรายได้เพียงพอแก่การยังชีพ มีสิทธิได้รับความช่วยเหลือจากรัฐ ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ” |
2550 | มาตรา 53 “บุคคลซึ่งมีอายุเกินหกสิบปีบริบูรณ์และไม่มีรายได้เพียงพอแก่การยังชีพ มีสิทธิได้รับสวัสดิการ สิ่งอำนวยความสะดวกอันเป็นสาธารณะอย่างสมศักดิ์ศรี และความช่วยเหลือที่เหมาะสมจากรัฐ” |
2560 | มาตรา 48 วรรคสอง “บุคคลซึ่งมีอายุเกินหกสิบปีและไม่มีรายได้เพียงพอแก่การยังชีพ และบุคคลผู้ยากไร้ย่อมมีสิทธิได้รับความช่วยเหลือที่เหมาะสมจากรัฐตามที่กฎหมายบัญญัติ” |
อย่างไรก็ตามการจ่ายเบี้ยคนชราให้กับผู้สูงอายุที่อายุครบ 60 ปีขึ้นไป เริ่มขึ้นในประเทศไทยในสมัยรัฐธรรมนูญ 2550 คือในช่วงปี 2552 ที่อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี และก็มีการแก้ไขกฎหมายเพิ่มร้องรับสิทธิดังกล่าวคือ ระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยหลักเกณฑ์การจ่ายเบี้ยผู้สูงอายุองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ.2552 และพ.ร.บ.ผู้สูงอายุ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2553 ซึ่งหัวใจสำคัญของกฎหมายทั้งสองฉบับคือ ผู้สูงอายุทุกคนมีสิทธิได้รับเบี้ยยังชีพ โดยไม่ต้องพิจารณาฐานะทางเศรษฐกิจว่ายากจนหรือร่ำรวย ด้วยเหตุนี้ จึงมีการจ่ายเบี้ยคนชราแบบถ้วนหน้ามาต่อเนื่องมากกว่า 14 ปี