มาตรา๑๕ หากมาตรการตามมาตรา๑๔ ไม่เพียงพอหรือไม่ทันท่วงทีต่อการแก้ไขวิกฤตสาธารณภัยให้นายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีมีอำนาจกำหนดมาตรการพิเศษเพื่อจัดเก็บรายได้เข้ากองทุนเป็นการเร่งด่วนโดยการให้รัฐวิสาหกิจหรือหน่วยงานทางปกครองผู้ให้บริการสาธารณูปโภคด้านไฟฟ้าประปาและโทรคมนาคมมีอำนาจเพิ่มมูลค่าหนี้เกินกว่าความเป็นจริงในใบเรียกเก็บหนี้จากผู้ใช้บริการได้และถือว่ามูลค่าหนี้ที่เกินมาดังกล่าวเป็นหนี้ที่ผู้ใช้บริการต้องชำระโดยปกติตามกฎหมายแต่ให้รัฐวิสาหกิจหรือหน่วยงานทางปกครองนำส่งเป็นรายได้เฉพาะส่วนดังกล่าวเข้ากองทุนโดยไม่มีการหักค่าใช้จ่ายหรือค่าดำเนินการ
การดำเนินมาตรการตามวรรคหนึ่งต้องไม่เรียกเก็บจากผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสาธารณภัยอย่างมีนัยสำคัญและต้องมีวิธีการให้ผู้ที่ได้ชำระหนี้ที่เพิ่มขึ้นมาเกินกว่าความเป็นจริงสามารถเลือกนำจำนวนเงินที่ชำระดังกล่าวไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนไปหักกลบกับค่าบริการที่แท้จริงในภายหลังได้ทั้งนี้ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะรัฐมนตรีกำหนด
หากหน่วยงานทางปกครองผู้ให้บริการสาธารณูปโภคตามวรรคหนึ่งเป็นหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายให้ใช้อำนาจทางปกครองหรือดำเนินกิจการทางปกครองที่ไม่ใช่หน่วยงานของรัฐตามกฎหมายจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครองให้คณะรัฐมนตรีกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการชดเชยค่าใช้จ่ายในการดำเนินมาตรการตามวรรคหนึ่งเท่าที่เหมาะสมและจำเป็นแก่หน่วยงานทางปกครองนั้น
ผู้ร่างกฎหมายฉบับนี้อธิบายว่าแนวคิดการจัดเก็บเงินจากสาธารณูปโภคนี้มีข้อดีคือปกติจะมีการจัดเก็บเป็นประจำอยู่แล้วเช่นหักบัญชีหรือบัตรเครดิตเพื่อให้รัฐสามารถจัดเก็บรายได้อย่างสะดวกรวดเร็วสำหรับการเยียวยาฉุกเฉินโดยไม่ต้องติดขัดกับประสิทธิภาพของการจัดเก็บภาษีในประเทศไทย
ข้อชวนคิด: